รีวิว Start-Up - สตาร์ทอัพ
คำว่า Start Up โด่งดังในประเทศไทยมาหลายปี เห็นได้จากการอบรมสัมมนานักธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีเยอะเป็นดอกเห็ด รวมถึงหนังสือฮาวทูเศรษฐีต่าง ๆ ที่เป็นเบสต์เซลเลอร์ คำว่าสตาร์ทอัพมันบูมได้ยังไง ก็ต้องย้อนไปดูความสำเร็จของ Facebook และ Google ที่เริ่มจากการเป็นสตาร์ทอัพที่คิดใหญ่ฝันไกลจนยิ่งใหญ่ได้ในทุกวันนี้ เรียกได้ว่ามองเทรนด์โลกอนาคตออกจึงเติบโตแบบก้าวกระโดด รีวิว Start-Up
เรื่องย่อ
เรื่องราวชีวิตของตัวละครวัยหนุ่มสาวที่เริ่มต้น (Start) และ เติบโต (up) กับการทำธุรกิจสตาร์ทอัพด้วยความฝันที่อยากจะประสบความสำเร็จใน Silicon Valley ของเกาหลี ซึ่งตัวละครได้พบเจอกับ ความท้าทาย ความยากลำบาก การให้กำลังใจซึ่งกันและกัน และเรื่องราวความรักของพวกเขา
คำว่า Start Up โด่งดังในประเทศไทยมาหลายปี เห็นได้จากการอบรมสัมมนานักธุรกิจสตาร์ทอัพที่มีเยอะเป็นดอกเห็ด รวมถึงหนังสือฮาวทูเศรษฐีต่าง ๆ ที่เป็นเบสต์เซลเลอร์ คำว่าสตาร์ทอัพมันบูมได้ยังไง
ก็ต้องย้อนไปดูความสำเร็จของ Facebook และ Google ที่เริ่มจากการเป็นสตาร์ทอัพที่คิดใหญ่ฝันไกลจนยิ่งใหญ่ได้ในทุกวันนี้ เรียกได้ว่ามองเทรนด์โลกอนาคตออกจึงเติบโตแบบก้าวกระโดด
ซีรีส์เกาหลีลง Netflix เรื่องใหม่ที่เข้ามาแทน Stranger SS2 ที่พึ่งจบไป ว่าด้วยเรื่องราวของหนุ่มสาววงการสตาร์ทอัพมุ่งสู่ฝันทำให้สำเร็จ โดยมีดราม่าสุดรันทดจากปัญหาครอบครัวในอดีตมาเป็นแรงผลักดัน พร้อมทั้งเรื่องราวความรักความทรงจำในวัยเด็กที่เป็นพหรมลิขิตต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
เนื้อเรื่อง
เปิดเรื่องมาเหมือนเป็นการปูเรื่องราวให้กับตัวละครหลักทั้ง 4 คน ได้แก่ ซอดัลมี นัมโดซาน วอนอินแจ และ ฮันจีพยอง แต่ละคนมีที่มาและมีความสัมพันธ์กันอย่างไรให้คนดูอย่างเราได้รู้จัก รวมทั้งสอดแทรกประเด็นสำคัญๆ เอาไว้ จุดศูนย์กลางที่ดึงทั้งสี่เอาไว้ด้วยกัน คือ วงการสตาร์ทอัพ
ในอีพีแรกเกือบ 90% เราจะเห็น 3 ตัวละครหลัก ซอดัลมี วอนอินแจ และ ฮันจีพยองต่างมุ่งหน้ามาที่งานบรรยายธุรกิจสตาร์ทอัพ ที่ sandbox ภายในงานมีช่วงถามตอบให้ผู้ฟังสามารถถามคำถามผู้มาบรรยายได้
จะมีฉากที่เราเคยเห็นภาพทีเซอร์ปล่อยออกมาของซอดัลมี ที่รับบทโดย แบซูจี ซึ่งยืนขึ้นถือไมค์ถามคำถามภายในงาน คำถามที่ถามออกมาของซอดัลมี เป็นคำถามที่ซีรี่ส์เหมือนต้องการบอกให้เรารู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ของตัวละคร แต่ความสัมพันธ์อย่างไร ต้องลองไปดูกัน
การดำเนินเรื่อง
ภายนอกการดูหนังออนไลน์ หรือซีรีส์เรื่องนี้ให้ความรู้สึกว่าเป็นแนวธุรกิจเต็มตัว แต่กลับพบว่าจริงๆ นี่เป็นซีรีส์แนวดราม่าที่หนักหน่วงกันตั้งแต่ EP แรกเลย เพราะเรื่องราวเริ่มต้นที่นางเอก “ซอดัลมี” (รับบทโดย Bae Suzy นางเอก Vagabond) ต้องพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่ตั้งแต่เด็ก ระหว่างการต้องเลือกพ่อหรือแม่ที่ต้องการหย่าร้างกัน
และนำไปสู่จุดเริ่มต้นของความแค้นในตัวเธอที่มีต่อพี่สาวที่เลือกเดินคนละด้านระหว่างความฝันในอนาคตหรือความร่ำรวยที่อยู่ตรงหน้า จนกลายเป็นทางแยกของชีวิตทั้งคู่ที่ไม่อาจจะกลับมาเหมือนเดิมได้อีกครั้ง
ในอีกด้านหนึ่ง “ฮันจีพยอง” (รับบทโดย Kim Sun-Ho ) หนุ่มน้อยจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ถูกส่งออกมาเผชิญโลกภายนอกในช่วงวัยเด็ก ได้มาพบกับยายของ “ซอดัลมี” และได้รับความช่วยเหลือโดยไม่ได้หวังสิ่งตอบแทน
ทั้งคู่ร่วมกันสร้างตัวละครสมมุติ “นัมโดซาน” (Nam Joo-Hyuk พระเอกจากเรื่อง The School Nurse Files ที่พึ่งฉายใน Netflix) ที่หยิบยืมมาจากชื่อเด็กในข่าวรับรางวัลเหรียญทองโอลิมปิคคณิตศาสตร์ เพื่อมาเป็นเพื่อนปลอบใจเธอกับความปวดร้าวในวัยเด็ก
กลายเป็นว่าเธอโตขึ้นมาโดยหลงรักยึดมั่นในตัวนัมโดซานที่เธอไม่เคยเจอกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว นอกจากจดหมายที่เขียนหากันปีเดียว และกำลังออกตามหานัมโดซานในชีวิตจริงเพื่อขอให้มาช่วยเหลือเธออีกครั้ง
ต้องบอกเลยว่าเรื่องนี้มีแววดังสนั่นมากกว่าซีรีส์เรื่องไหนในช่วงนี้ ด้วยความที่ตัวเรื่องทันสมัยเล่าเรื่องราวแปลกใหม่แตกต่างจากปกติทั่วไป มีดารานำสาวสวยอย่าง Bae Suzy นางเอก Vagabond ที่เป็นขวัญใจคนไทยมากมายมาเล่นด้วย
ตัวซีรี่ย์ Netflix แค่เปิดมาตอนแรกก็สัมผัสได้ถึงความละเมียดละไมใส่ใจในทุกขั้นตอนงานสร้าง ตั้งแต่เรื่องราวที่ดูเผินๆ นึกว่าจะต่อสู้กันทางธุรกิจเป็นหลัก แต่เรื่องกลับดึงเข้าสู่ดราม่าหนักหน่วงตั้งแต่ตอนแรก (แอบให้ความรู้สึกคล้ายอีเทวอนคลาสตั้งแต่ตอนแรกเลย)
พร้อมฉากสะเทือนใจตามมาติดๆ ด้วยการย้อนภาพอดีตเล่าเรื่องราวความเป็นมาของสองสาวพี่น้องที่ต้องมาแยกทางกันเพราะเรื่องความฝันกับความร่ำรวยที่กองอยู่ตรงหน้า และทั้งคู่ได้กลับมาพบกันอีกครั้งโดยที่นางเอกที่เลือกความฝันกลับไม่ประสบความสำเร็จอะไรเลย แม้แต่การเรียนก็ไม่สำเร็จ
ซึ่งถือว่านางเอกในเรื่องนี้มีแบ็คกราวด์ที่ปูมาแปลกมาก และเธอก็ไม่ได้มีความสามารถอะไรจะมาสู้กับพี่สาวของเธอที่เลือกเส้นทางชีวิตสบายด้วยกองเงินกองทอง และก็โตมากับความสำเร็จมีชื่อเสียงแบบง่ายๆ
ตัวเรื่องปูพื้นชีวิตของนางเอกหนักหน่วงรันทดกันสุดๆ จนจบตอนแรกไปเลย แล้วก็ไม่ได้ว่าพอตอนต่อมาจะฟื้นมาเป็นดีอะไรได้ เธอยังคงมีชีวิตที่ไม่ได้ดีขึ้น จนกระทั่งเริ่มออกตามหาเพื่อนทางจดหมายวัยเด็ก และได้กลับมาพบกันอีกครั้ง
โดยที่ไม่ได้รู้ว่าจริงๆ แล้วนัมโดซานมีสองคน ซึ่งตัวเรื่องวางพล็อตเก๋มากที่ให้พระเอกทั้งสองคนมีบทบาทคนละแบบในการเข้าถึงและช่วยเหลือนางเอก นัมโดซานตัวจริงเป็นหนุ่มที่ไม่ประสบความสำเร็จในชีวิตของการฝันเป็นสตาร์ทอัพ
นัมโดซานตัวปลอมทางจดหมายกลายเป็นคนประสบความสำเร็จสูงสุดของวงการสตาร์ทอัพ ทั้งคู่ต้องพึ่งพาช่วยกันประคับประคองชีวิตนางเอกที่ตกตระกรำลำบาก และต้องเผชิญหน้ากับคำดูถูกจากพี่สาวที่แยกทางเดินไปตอนเด็ก
ด้านงานภาพ
นอกจากเนื้อเรื่องที่ดราม่าหนักหน่วงกันตั้งแต่สตาร์ทแล้ว งานภาพประกอบ CG ของเรื่องนี้ก็สวยละเมียดละไมดูพลินไปกับบรรยากาศย้อนยุคของเรื่อง พร้อมกับเรื่องราวฉากในปัจจุบันที่ใช้พวกเทคโนโลยีต่างๆ มาเกี่ยวข้อง
รวมกับการใช้ CG มาผสมเป็นมุมกล้องแปลกใหม่เพื่อเล่าเรื่องราวผ่านภาพสวยๆ ได้อย่างไร้ที่ติเลย ยกตัวอย่างฉากขนนกที่ลอยจากนางเอกไปหาพระเอกในอีกที่หนึ่ง แสงสีในเรื่องก็เน้นสีชมพูอ่อนๆ ประกอบเรื่องตลอด จนดูเรื่องราวชวนฝันมาก
ซึ่งงานสร้างละเมียดละไมแบบนี้ก็มาจากสตูดิโอดราก้อนที่ผลงานอย่าง It’s Okay to Not Be Okay ที่คนคงรู้ว่าสวยงามขนาดไหน อีกทั้งยังได้ผู้กำกับ Hotel del Luna ที่เน้นงานสร้างภาพชวนฝันมาด้วยอีกคน
ในเรื่องนี้จึงกลายเป็นซีรีส์แนวดราม่าธุรกิจที่มีงานด้านภาพสวยแบบสะกดให้ผู้ชมดูได้ไม่เบื่อเลย เรียกว่าเป็นจุดขายที่ชวนให้คนดูติดได้เลยง่ายๆ
ด้านนักแสดง
ตัวนักแสดงสมทบในเรื่องก็มีบทที่ลึกซึ้งกินใจกันตั้งแต่แรก อย่างบทพ่อของนางเอก (เล่นโดย Kim Joo-Hun จากบทเจ้าของสำนักพิมพ์ใน t’s Okay to Not Be Okay) ที่ชีวิตรันทดหดหู่ไปจนจบ และได้กลายมาเป็นเป้าหมายในชีวิตของนางเอกในภายหลังที่มาพร้อมกับความแค้น
ซึ่งเขาก็เล่นได้ไม่มีที่ติแม้จะออกมาแค่ตอนแรกเต็มๆ (จากนั้นถ้ามีคงแค่แฟลชแบ็คสั้นๆ) เพียงแต่บทอาจจะดูน้ำเน่าไปนิดที่เขียนให้รันทดแบบนี้ แต่เชื่อว่ากินใจคนดูแน่นอน
อีกคนก็คือยายของนางเอกที่เต็มไปด้วยน้ำใจให้กับหนุ่มน้อยฮันจีพยอง เด็กแปลกหน้าที่บังเอิญเจอกลางสายฝน ซึ่งบทของสองคนนี้ปูเรื่องให้ลึกซึ้งกินใจจนเรียกน้ำตาคนดูได้ตั้งแต่ตอนแรกแน่นอน
เรียกว่าเป็นการเปิดเรื่องที่เปอร์เฟ็กต์เอามากๆ กับฉากย้อนอดีตความสัมพันธ์ของตัวละครในเรื่องที่ส่งผลมาถึงชีวิตในปัจจุบันที่ข้ามมาป็นตอนโตแล้ว และการกลับมาพบกันอีกครั้งของตัวละครทั้งหมดในวัยเด็ก
ตัวของพล็อตเรื่อง
แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้สะดุดมีปัญหาก็คือพล็อตเรื่องที่ว่าแปลกใหม่ แต่ตัวความรักในเรื่องยังคงใช้สูตรสำเร็จที่จำเจของซีรีส์เกาหลี อย่างการที่ให้มีพระเอก พระรอง รักนางเอกคนเดียวกัน แต่บทก็แทบไม่ได้สูสีในเรื่องความรักกันจริงๆ
สุดท้ายพระรองดีแค่ไหนก็ชนะใจไม่ได้ ซึ่งโอเคมันสำเร็จในแง่ที่ว่าเรียกความเห็นใจให้คนดู ซึ่งเรื่องนี้ขึ้นต้นมาอย่างสวยงาม แต่กลับเดินเรื่องในสูตรเดิม แล้วก็เน้นแบบเปิดตัวเลยว่านัมโดซานที่เล่นโดย Nam Joo-Hyuk คือพระเอกตัวจริงมากกว่าแบบไม่ต้องเดา
เพราะเล่นทั้งแสงสีสาดส่องและฉากสโลวโมชั่นเวลาทั้งคู่พบกันให้ดูเหมือนเป็นพหรมลิขิต ในขณะที่พระเอกอีกคนกลับไม่มีอะไรแบบนี้
อบอุ่น หลากอารมณ์
ซีรีส์ใส่ความอบอุ่นมาที่ พื้นฐานครอบครัวของแต่ละคนได้น่ารักและเข้าถึง ซอดัลมีถึงจะเติบโตมาด้วยฐานะที่ไม่ได้ร่ำรวยอู้ฟู่เหมือนฝั่งพี่สาว แต่ความอบอุ่นที่ได้จากย่ามันล้นเหลือ มีย่าซัพพอร์ทความรู้สึกอยู่ตลอดเวลา
ความรักจากย่าที่เผื่อแผ่ไปถึงใครต่อใครที่ไม่รู้จัก ทำให้คุณภาพชีวิตที่เหมือนจะขาดแต่ก็ไม่ขาดซะอย่างนั้น มั่นใจเลยว่าทุกคนถ้าได้ดูแล้วจะหลงรักคุณย่าของซอดัลมีแน่นอน
แม้กระทั่งความสัมพันธ์ที่น่าปลื้มใจระหว่างย่ากับฮันจีพยอง ต้องบอกว่าความรักฉันเพื่อนมนุษย์ ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติของคู่นี้ ซาบซึ้ง น่ารักปนเฮฮาจนอยากดูซีนคุณย่ากับฮันจีพยองอยู่บ่อย ๆ และฮันจีพยองก็เป็นตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จได้ด้วยตัวคนเดียวอย่างน่าทึ่ง (คือฮีเป็นกำพร้า)
หรือแม้แต่ครอบครัวของนัมโดซาน ที่พ่อแม่ตั้งความหวังแล้วตั้งความหวังอีก แต่ก็แป้กกับลูกชายคนเก่งไปซะทุกครั้ง ก็ถ่ายทอดออกมาได้อบอุ่น ให้ความรู้สึกแบบครอบครัวพื้น ๆ ตามสังคมครอบครัวของคนเกาหลี ความรักล้น ๆ มันออกมาจากบริบทของพ่อแม่อย่างเห็นได้ชัด แม้กระทั่งวอนอินแจกับแม่ ก็ยังมีซีนความรักแบบกั๊ก ๆ ที่แม่มีต่อลูกให้เห็น จนเกิดมุมน่ารักน่ายิ้มมาทีละนิด
ด้านวงการเทคสตาร์ทอัพ
ตัวเรื่องแม้จะวางตัวเป็นแนวโรแมนติกชัดเจน แต่ด้านวงการเทคสตาร์ทอัพก็มีรายละเอียดเชิงลึกที่แสดงให้เห็นเลยว่าคนเขียนบททำการบ้านมาดี เพราะชื่อตอนทุกตอนเป็นลำดับกระบวนการในวงการสตาร์ทอัพจริงๆ
รวมถึงไอเดียต่างๆ ในเรื่องก็เป็นอะไรที่จับต้องได้ และยังเน้นเรื่องการระดมทุนยังไงให้สำเร็จ โดยมีเรื่องราวของบริษัทที่เป็นกลุ่มทุนในฝันของสตาร์ทอัพหน้าใหม่ในเรื่องที่ชื่อ Sandbox มาเป็นเมนหลักในเรื่อง
การแข่งขันก่อตั้งบริษัทจาก 0 ที่ตัวละครในเรื่องทุกคนเข้ามาเกี่ยวข้องและแข่งขันกันไปสู่จุดหมาย โดยที่ Sandbox เองก็มีเบื้องหลังความสัมพันธ์ที่สะเทือนใจกับพ่อของนางเอกในตอนแรก ทำให้เรื่องราวของเทคสตาร์ทอัพมีดราม่าลึกซึ้งกินใจผสมเข้าไปอยู่ด้วย
มีศัพท์ในแวดวงธุรกิจ
เรื่องนี้เดินเรื่องไปพร้อมกับมีศัพท์ในแวดวงธุรกิจแทรกอยู่ด้วยตลอดเวลา ซึ่งเรื่องใช้การอธิบายเป็นซับไตเติลด้านล่างเพิ่มเป็นภาษาเกาหลี แต่น่าเสียดายที่ตรงนี้ไม่ได้มีการแปลออกมา
แต่ว่าก็มีการอธิบายจากตัวละครในเรื่องไปพร้อมกันด้วย และยังให้โดซานเป็นคนอธิบายสอนนางเอกเกี่ยวกับศัพท์ต่างๆ ในเรื่องไอทีเพิ่มแบบน่ารักๆ ทำให้คนดูไม่ต้องกังวลว่าดูเรื่องนี้แล้วจะงง ไม่มีแน่นอนครับ
โดยรวม
ถือเป็นซีรีส์ที่สร้างขวัญกำลังใจกับคนที่อยากทำธุรกิจ Startup และจุดไฟที่อาจจะมอด ๆ ไปแล้วได้เลย มองอนาคตแล้วเห็นได้เลยว่ามันพลุ่งพล่าน นอกจากจะเอาใจช่วยให้พวกเขาผ่านไป อาจจะทำให้ใครหลายคนย้อนกลับมามองตัวเอง
ว่าถึงเวลาแล้วหรือยังที่เราจะลองกันสักตั้ง หรือลุกขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยวิธีที่มีหลักการ มีแผน ยอมรับจุดด้อยจุดเด่นของตัวเอง แล้วมองหาใครสักคนมาช่วยเสริมเพื่อเติมเต็มสิ่งที่ขาดหายไปของตัวเองได้จริง ๆ
ซีรีส์เรื่องนี้ไม่ได้ดูสนุกอย่างเดียวจริง ๆ แต่สามารถเอามาปรับใช้กับชีวิตการทำงานต่อจากนี้ของตัวเองได้สบาย ๆ สาระมากมายอยู่ในนั้น แล้วไม่ได้ซ่อนไว้ซะด้วย เห็นกันชัด ๆ เลยแหละ แต่ไม่หนักเลยนะ เบาสบายมาก ๆ เป็นซีรีส์เรื่องหนึ่งที่ใช้คำว่ากลมกล่อม
สรุป
พล็อตเรื่องทันสมัยแปลกใหม่ของวงการสตาร์ทอัพ โดยมีพื้นฐานเรื่องราวดราม่าสุดรันทดมาเป็นแบ็คกราวด์ของเรื่อง ซึ่งทำได้ดีมากกันตั้งแต่สตาร์ทเรื่องเลย ด้วยเนื้อหาที่กินใจกระชากใจคนดูได้ตลอดเรื่อง พร้อมด้วยงานภาพมุมกล้องกับ CG ที่สวยโดดเด่นชวนหลงไหล แค่ดูภาพอย่างเดียวก็ยังคุ้มแล้วกับการรับชมเรื่องนี้
Comments