top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนCharcoal Original

The Boys Season 2


ดูหนังออนไลน์

รีวิว The Boys Season 2 - เดอะบอย 2

ซีรีส์แนวซูเปอร์ฮีโร (หรืออย่างน้อยก็เกี่ยวกับยอดมนุษย์) ที่อาจพูดได้ว่าเป็นคอนเทนต์ระดับเรือธงของบริการสตรีมมิงอย่าง Prime Video และผมเองก็ยอมรับโดยดุษฎีว่ายอมจ่ายรายเดือนเพียงเพื่อดูซีรีส์นี้สัปดาห์ละตอน แบบไม่อยากรอให้มันลงครบทั้งซีซันก่อน เพราะแต่ละตอนที่มันปล่อยออกมา มันเต็มไปด้วยเรื่องหรือฉากที่เกินคาดเดา หรือเกินจินตนาการของเราได้อยู่เสมอ ประโยคแบบ Surprise Me! แทบไม่จำเป็นต้องท้าทายสำหรับซีรีส์นี้ เพราะมันมีให้แน่ ๆ อย่างเพียบ! รีวิว The Boys Season 2


เรื่องย่อ


ซีซั่น 2 เรื่องราวต่อจาก ซีซั่น 1 ตอนจบโดยตรง ที่ปิดเรื่องไว้ว่ามีการสร้างเหล่าซูเปอร์วายร้ายขึ้นมาโดยโฮมแลนเดอร์เอง เพื่อให้มีอำนาจเข้าไปอยู่ในกองทัพอเมริกา แต่เนื้อเรื่องกลับไม่ได้ให้น้ำหนักแบบมีวายร้ายตัวฉกาจเกิดขึ้นแต่อย่างใด


กลายเป็นซูเปอร์วายร้ายพวกนี้แค่เป็นเครื่องมือให้ทั้งวอทกับโฮมแลนเดอร์เอาไปใช้งานเพื่อให้มีฐานอำนาจมากยิ่งขึ้นแทน ซึ่งคนที่หวังว่าซีซั่นนี้เปิดมาจะมีฉากต่อสู้ดุเดือดอะไรพวกนี้คงผิดหวังไปตามๆ กัน กลายเป็นว่าซีซั่นนี้พยายามปั้นทิศทางใหม่ขึ้นมาโดยพยายามให้ทีม The Boy ที่เหมือนหมดไฟสิ้นหวังไปแล้วในตอนจบซีซั่นแรก ให้มีความแค้นและเป้าหมายใหม่มาจัดการพวกซูปส์อีกครั้ง


 

การกลับมาของก๊วนล่าซูเปอร์ฮีโร่ที่ภายนอกทำตัวเป็นคนดี แต่เบื้องหลังเลวระยำ เป็นงานสร้างต่อจากการ์ตูนที่วางเรื่องจบไปแล้วในซีซั่น 1 และต่อจากนี้คือเรื่องราวที่ซีรีส์ขยายต่อเติมโลกของเรื่องนี้ไปอีกไกลมาก


ซีรีส์แนวซูเปอร์ฮีโร (หรืออย่างน้อยก็เกี่ยวกับยอดมนุษย์) ที่อาจพูดได้ว่าเป็นคอนเทนต์ระดับเรือธงของบริการสตรีมมิงอย่าง Prime Video และผมเองก็ยอมรับโดยดุษฎีว่ายอมจ่ายรายเดือนเพียงเพื่อดูซีรีส์นี้สัปดาห์ละตอน แบบไม่อยากรอให้มันลงครบทั้งซีซันก่อน


เพราะแต่ละตอนที่มันปล่อยออกมา มันเต็มไปด้วยเรื่องหรือฉากที่เกินคาดเดา หรือเกินจินตนาการของเราได้อยู่เสมอ ประโยคแบบ Surprise Me! แทบไม่จำเป็นต้องท้าทายสำหรับซีรีส์นี้ เพราะมันมีให้แน่ ๆ อย่างเพียบ!


เนื้อเรื่อง


เนื้อหาสำหรับคนที่ไม่เคยดูซีซันแรกมาก่อนเลย พอเล่าคร่าว ๆ ได้ว่ามันเป็นเรื่องราวของ กลุ่มคนธรรมดากลุ่มหนึ่งชื่อ The Boys ที่ต่างคนต่างก็มีประสบการณ์ตกเป็นเหยื่อความรุนแรงอันมาจากการกระทำของกลุ่มฮีโรที่ชื่อ เดอะเซเว่น อันมีผู้นำคือ โฮมแลนเดอร์ (แอนโทนี่ สตาร์) ที่มีภาพลักษณ์แบบซูเปอร์แมนก็ไม่ปาน


พระเอกของเราคือ ฮิวอี้ (แจ็ก เควด) พนักงานร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าที่แฟนสาวถูกหนึ่งในฮีโรที่ชื่อ เอ-เทรน (ที่เปรียบไปก็คือเดอะแฟลชที่เราคุ้นเคย) วิ่งชนด้วยความเร็วสูงจนร่างระเบิดเลือดสาดกระจาย และเอ-เทรนก็ได้แต่ขอโทษเพราะเขากำลัง เมาอยู่! จากนั้นฮิวอี้ก็ถูก วอจธ์ บริษัทด้านยาที่บริหารงานเดอะเซเว่นเข้ามาจัดการปิดปากให้ยอมรับการชดเชยที่ไม่เป็นธรรม


และนั่นคือจุดเริ่มต้นที่เขาถูก บิลลี่ บุตเชอร์ (คาร์ล เออร์แบน) หัวหน้ากลุ่มเดอะบอยเข้ามาตีสนิทและหลอกใช้เพื่อให้ช่วยในการไล่ฆ่าฮีโรกลุ่มเดอะเซเว่น ซึ่งเป็นการตอบโต้ด้วยความเลือดเย็น โหดเหี้ยม ราวกับปีศาจสู้กับพระเจ้าจอมปลอมก็ไม่ปาน


เรื่องราวในดูหนังออนไลน์ซีซันแรก จบลงที่บิลลี่ระเบิดตึกของวอจธ์ ส่งผลให้เขาถูกโฮมแลนเดอร์โยนความผิดในการตายของ เมเดลีน ผู้บริหารของวอจธ์ไปทั้งที่จริงเป็นโฮมแลนเดอร์ใช้ตาเลเซอร์เผาเจาะใบหน้าเมเดลีนอย่างเลือดเย็นต่างหาก


จริง ๆ บิลลี่ควรตายในการระเบิดนั้นแต่เขากลับได้รับการช่วยเหลือจากโฮมแลนด์เดอร์และพามาเจอภรรยาที่บิลลี่เชื่อว่าฆ่าตัวตายเพราะถูกโฮมแลนเดอร์ข่มขืนไปในอดีต แถมซ้ำมีลูกกับโฮมแลนเดอร์เสียอีก


ส่วนฮิวอี้ก็มีความรักกับหนึ่งในฮีโรกลุ่มเซเว่นอย่าง สตาร์ไลต์ (อีริน มอริอาร์ตี้) สาวซื่อใสจากบ้านนอกที่ได้รับเลือกให้เป็นฮีโรกลุ่มเซเว่น จนมาเจอความจริงอันโหดร้ายว่าพวกฮีโรไม่ได้ดีอย่างที่เธอคิด ตั้งแต่เจอเดอะดีป (อารมณ์อะควาแมน) รับน้องด้วยการให้ทำโบลว์จ็อบ ก่อนจะเริ่มแปรพักตร์มาเป็นหนอนบ่อนไส้อยู่ในวอจธ์


การดำเนินเรื่อง


ถ้าว่ากันตามตรงคนที่จะบันเทิงกับซีรีส์เต็มเหนี่ยวคงไม่พ้นแฟนบอยหนังซูเปอร์ฮีโร โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ารู้จักค่ายดีซีเป็นทุนยิ่งสนุกมาก เพราะตัวซีรีส์จากคอมิกชื่อเดียวกันนี้เรียกว่ายกดีซีเอามาเสียดสีเลยทีเดียว และไม่เพียงเท่านั้นความโหดด้านภาพ (ตลอดจนเนื้อหา) ที่มาแบบจังหวะนรกนั่นกลายเป็นเสน่ห์ที่สะใจสายฮาร์ดคอร์อย่างยิ่ง


โลกของซูเปอร์ฮีโรที่แฟนตาซีและมักอยู่ในบริบทขาวดำ ธรรมะชนะอธรรม ได้ผสานโลกความเป็นจริงที่ว่าไม่มีใครขาวสมบูรณ์ได้เข้าไป ทำให้มันสัมผัสจิตใจผู้ชมที่เป็นผู้ใหญ่ (ตลอดจนเด็กโต) ที่เริ่มมีประสบการณ์เทา ๆ ในโลกจริงมาได้อย่างดี


ในซีซันที่ 2 นี้


ในซีซันที่ 2 นี้ ตัวซีรีส์ซีรี่ย์ Netflixได้ทำตัวเป็นหนังภาคต่อที่ดี ด้วยการเป็นสะพานที่เชื่อมเนื้อหาการต่อสู้ในระดับคนชนช้าง เริ่มเห็นความเป็นไอเดียชนไอเดียมากขึ้น ทั้งกลุ่มองค์กรต่าง ๆ ที่มีนิสัยความเป็นคนให้เข้าใจมากขึ้นทั้ง วอจธ์ที่เราได้เห็นความลึกของมันผ่านความนิ่งและคาดเดายากของ สแตน เอสการ์ (จิอันคาร์โล เอสโปซิโต)


ซีอีโอของวอจธ์ที่ขนาดว่าเขายืนท้าทายเครื่องจักรสังหารโรคจิตอย่างโฮมแลนด์เดอร์ได้อย่างไม่เกรงกลัว กลุ่มลัทธิประหลาดที่เข้ามามีส่วนพัวพันกับฮีโรตกอับก็เพิ่มความไม่ชอบมาพากลให้เนื้อเรื่อง ขณะเดียวกันฝั่งองคืกรใหญ่อย่างซีไอเอ หรือแม้แต่รัฐสภาของสหรัฐก็เริ่มเพิ่มบทบาทในเรื่องมากขึ้น


ต้องยอมรับว่าในช่วง 3 ตอนแรก ซีรีส์ยังคงไม่ได้มอบดอกผลอันพึงใจให้รู้สึกความแตกต่างจากซีซันแรกนัก นอกไปจากความรุนแรงที่ยังคงคาดเดาไม่ได้ที่ยังทำงานได้ดี แต่ตัวเรื่องนั้นกลับเดินไปอย่างเชื่องช้ามีความน่าหงุดหงิดในตัวละครนำอยู่ไม่น้อย เพราะบางตัวละครเหมือนกับวนกลับไปเจอปัญหาใจเดิม ๆ ไม่รู้จบ


ราวกับไม่ค่อยเรียนรู้ใด ๆ มา เช่น การสติแตกของฮิวอี้เมื่อต้องนั่งเรือชนปลาวาฬของเดอะดีปจนตัวเองไปนั่งแช่อยู่ในตับไตไส้พุงปลายักษ์แบบน่าสะอิดสะเอียด แกก็กลับไปเป็นบ้าไม่เอาอะไรอีกครั้งทั้งที่เหล่าเดอะเซเว่นไล่ติดตูดมาติด ๆ ก็ตาม เป็นต้น


จนกระทั่งเนื้อหาของการโต้กลับวอจธ์นับตั้งแต่ตอนที่ 4 ไปเริ่มเห็นภาพชัดขึ้นเรื่อย ๆ การผสานความร่วมมือระหว่างกลุ่มก้อนต่าง ๆ ก็ทำให้เกิดพันธมิตรที่คาดเดาการกระทำได้ยากขึ้น ทั้งอดีตศัตรูที่หันมาร่วมมือ เช่นฮีโรบางคน หรือคนที่เกลียดบิลลี่เป็นทุนเดิม และอดีตมิตรที่เกิดช่องว่างให้เคลือบแคลงใจกัน


และที่สำคัญการปรากฏตัวของตัวละครใหม่ ๆ อย่าง สตรอมฟร้อนต์ (เอยา แคช) ที่เข้ามาเป็นอีกหนึ่งตัวละครขวัญใจมหาชน ก่อนจะเริ่มเผยลายความแสบสันขึ้นเป็นลำดับ จนกลายเป็นตัวแปรสำคัญในเรื่องราวช่วงหลังทีเดียว

รีวิว The Boys Season 2

จุดด้อย


จุดด้อยของซีซั่นนี้ก็คงเป็นตัวเรื่องไม่ได้พุ่งไปที่การตามล่าเด็ดหัวซูเปอร์ฮีโร่เป็นคนๆ ในแบบซีซั่นแรก ความเข้มข้นของเรื่องจึงแผ่วลงไปมาก ซึ่งก็เข้าใจว่ามันยากมากกับการที่คิดให้คนธรรมดามาต่อสู้กับพวกซูเปอร์ฮีโร่ที่มีพลังระดับนี้ได้ และปัญหานี้เกิดตั้งแต่ช่วงหลังของซีซั่นแรกแล้ว


ผู้สร้างเลยพยายามทดแทนด้วยการใส่ความรุนแรงเลือดสาดกับฉากระเบิดชิ้นส่วนมนุษย์แหวะๆ เพิ่มมากกว่าซีซั่นแรกอย่างเห็นได้ชัด แต่ฉากที่ยัดมาพวกนี้กลับไม่ได้ทำให้รู้สึกหวาดเสียวตื่นเต้นแบบที่เกิดในซีซั่นแรกจากการปะทะกับพวกซูปส์เลย และออกแนวเลือดสาดพร่ำเพรื่อเกินเหตุไปด้วย


อีกจุดที่เรื่องดูแปลกๆ ไปมากคือการพยายามใส่ปมขัดแย้งระหว่างบุตเชอร์กับฮิวอี้จนดูงี่เง่ามากเกินไป และก็ไม่ค่อยสมเหตุผลเท่าไหร่ แม้จะพยายามโยงไปถึงอดีตของน้องชายของบุตเชอร์เพิ่ม โฮมแลนเดอร์ก็ยังดูเลวแบบผิดมนุษย์ได้เหมือนเดิมไม่เปลี่ยน


แต่มีเพิ่มโหมดความอยากเป็นพ่อที่ดีสอนลูกมาให้คนดูรู้สึกสงสารนิดๆ และก็เพิ่มสตอร์มฟรอนต์ขึ้นมาอีกคนให้คนดูเกลียดสูสีกัน ซึ่งก็ถือว่าทำได้สำเร็จ แต่ก็แอบเบื่อกับเรื่องราวยืดๆ ของสองคนนี้อยู่บ้าง


โดยรวม


ตัวเรื่องออกแนวเอื่อยๆ กว่าซีซั่น 1 มา ถึงจะมีฉากเลือดสาดเยอะกว่า ตัวเรื่องมาเน้นดราม่าปัญหาชีวิตส่วนตัวกระจายไปหลายตัวละคร จนถึงช่วงสามตอนสุดท้ายเรื่องถึงเข้มข้นน่าติดตาม มีฉากแอ็กชั่นสำคัญๆ เข้ามา และก็จบแบบแฮปปี้เอนดิ้งได้อย่างลงตัวมาก


สรุป


โดยสรุปซีรีส์ซีซันต่อนี้ ทำงานในการเชื่อมคนดูให้ไปชมภาพที่กว้างขึ้นของการต่อสู้ต่อต้านพระเจ้าจอมปลอมที่มีพลังระดับทำลายล้างโลกแต่ป่วยทางจิตเข้าขั้นฆาตกรต่อเนื่อง ให้น่าสนใจขึ้นไปอีก

ยิ่งฉากท้ายของตอนสุดท้ายที่เปิดตัววายร้ายตัวใหม่ที่มีพลังสุดน่ากลัวอย่างการระเบิดหัวคนเพียงจ้องมอง ก็เรียกน้ำย่อยผู้ชมให้อยากชมจานหลักในซีซันถัดไปจนทนไม่ไหวแล้วเช่นกัน

ดู 8 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Search WWW

The Crowned Clown

You Are My Spring

Comments


bottom of page