รีวิว The Boys - เดอะบอย
ซีรีส์ Super Hero บนช่อง Amazon Prime video ที่มาแรงที่สุดในตอนนี้ ด้วยความฉีกของพล็อตเรื่องที่แตกต่างไปจากที่ผ่านมาๆ ว่าด้วยเรื่องของประเทศอเมริกาในช่วงยุคปัจจุบันมี Super Hero เกิดมามากมาย โดยมีบริษัทวอท (Vought) เป็นผู้ดูแลจัดการธุรกิจเหมือนปั้นไอดอลให้มีภาพลักษณ์ดีๆ เพื่อนำไปใข้หากำไร รีวิว The Boys
เรื่องย่อ
เรื่องของประเทศอเมริกาในช่วงยุคปัจจุบันมี Super Hero เกิดมามากมาย โดยมีบริษัทวอท (Vought) เป็นผู้ดูแลจัดการธุรกิจเหมือนปั้นไอดอลให้มีภาพลักษณ์ดีๆ เพื่อนำไปใข้หากำไร โดยพยายามปกปิดความผิดพลาดของเหล่า Super Hero ในสังกัดไว้ ซึ่งกลุ่มตัวเอกก็คือคนธรรมดาที่ตกเป็นเหยื่อจากการกระทำชั่วแล้วแสร้งเป็นคนดีของพวกนี้
นี่คือซีรีส์ซูเปอร์ฮีโรพล็อตแรงที่กระแสกระหึ่มโลกในห้วงเวลานี้ หลายสำนักยกคะแนนเต็มให้ อย่างเว็บ imdb ที่คะแนนสูงยากมาก ๆ ยังซัดไป 9.1/10 คิดดู ซีรีส์นี้ดัดแปลงจากคอมิกชื่อเดียวกันของ การ์ธ เอนนิส จากสำนักพิมพ์ไดนาไมต์เอนเตอร์เทนเมนต์
ซึ่งเอนนิสเองคือผู้สร้างสรรค์คอมิกชุด Preacher ของค่ายเวอร์ติโก และทำงานให้กับคอมิกเรื่อง The Punisher ของมาร์เวลมากว่า 9 ปี ไม่แปลกที่งานของเขาจะเต็มไปด้วยความรุนแรงชนิดถึงลูกถึงคน รวมถึงการวิพากษ์วิจารณ์ประเด็นหนัก ๆ อย่างถึงพริกถึงขิง
เนื้อเรื่อง
นี่คือเรื่องราวของ มนุษย์เดินดิน vs พระเจ้าจอมปลอม ฉีกรูปแบบซูเปอร์ฮีโร่จากมาร์เวลและดีซีไปอย่างสิ้นเชิง ที่ดูใกล้เคียงที่สุดก็คงเป็น Watchmen ผสม Kick-ass ปนมาด้วยหน่อยๆ แต่ The Boys ก็มีแนวทางของตัวเองชัดเจน
ว่าด้วยการสร้างโลกซูเปอร์ฮีโร่ที่ส่วนใหญ่เลวระยำเพราะเมื่อใดก็ตามที่คนมีพลังอำนาจขนาดนั้น ก็ย่อมจะมีโอกาสหลงระเริงไปกับอำนาจที่มี คิดว่าตัวเองคือความยุติธรรม ใช้ศาลเตี้ยตัดสินความผิด
แทนที่จะนำตัวเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมาย ซ้ำร้ายผู้คนทั่วไปกลับชื่นชอบการมีอยู่ของพวกนี้ด้วย ยิ่งทำให้เกิดความเชื่อผิดๆ จนไม่คิดว่าพวกนี้ก็สิทธิผิดพลาดหรือเป็นคนเลวได้เช่นกัน นี่จึงเป็นหนังที่อยู่ขั้วตรงข้ามกับซูเปอร์ฮีโร่ปกติอย่างสิ้นเชิง
หนังเสียดสีทั้งมาร์เวลและดีซีไปพร้อมกัน แถมเนื้อหายังติดเรตความรุนแรงแบบจัดเต็ม ซึ่งก็ช่วยตอกย้ำให้โลกของ The Boys ดูดิบเถื่อนสมกับที่เป็นที่รวมของเหล่าซูเปอร์ฮีโร่สุดระยำได้เป็นอย่างดี
หนังมีตัวละครหลักฝั่งร้ายคือ Homelander ที่ถอดแบบพลังของซูเปอร์แมนออกมาแทบทั้งหมด เป็นซูเปอร์ฮีโร่เบอร์ 1 ของโลก เป็นหัวหน้าทีม The Seven ที่รวมพวกมีพลัง 7 คนมาทำงานกันเป็นทีม ผ่านบริษัทวอทที่ดูแลจัดการทุกอย่างให้ The Seven กลายเป็นสินค้าหลักทำเงินทุกช่องทาง
ซึ่งพวกที่เหลือในทีมก็ถอดแบบมาจากค่าย DC เป็นหลัก อย่าง Queen Maeve ที่ถอดแบบมาจากวันเดอร์วูแมน A-Train กับความเร็วน้องๆ เดอะแฟลช The Deep เจ้าสมุทรทั้ง 7 เหมือนอควาแมน Translucent มนุษย์ล่องหน Black Noir มนุษย์ลึกลับที่ทั้งชุดและอาวุธเหมือน G.I. Joe และสมาชิกใหม่แอนนี่หรือในชื่อ Starlight สาวบ้านนอกผู้รักความยุติธรรมและมีพลังปล่อยแสงได้
ซึ่งทั้งหมดนี้คือกลุ่มคนมีพลังที่หนังใช้คำเรียกรวมๆ ว่าพวก “ซูปส์” ซึ่งตัวละครหลักของ The Seven ก็มีปมร้ายปนโรคจิตแตกต่างกันไป ซึ่งดูหนังฟรีเป็นความสนุกที่เราจะเห็นฉากหลังด้านมืดของซูเปอร์ฮีโร่ทำเรื่องเลวระยำสารพัด โดยที่ฉากหน้าถูกสร้างภาพการตลาดไว้อย่างสวยงามให้เป็นไอดอลคนดีของสังคม
จุดแข็งของหนัง
The Boys มีจุดแข็งในการเล่าเรื่องที่แตกต่าง ในห้วงยุคสมัยที่ฮีโรมาร์เวล และดีซีครองวงการบันเทิง หากจะพูดไปมันคือ อัลเตอร์แอนตี้ฮีโร ในแบบที่ Watchmen ของ อลัน มัวร์ เคยวิพากษ์วงการฮีโรไว้ว่าซูเปอร์ฮีโรคอยสอดส่องคนไม่ดี แล้วใครกันจะสอดส่องเหล่าฮีโรไม่ให้แตกแถว ขณะที่อลัน มัวร์ เลือกให้ฮีโรสีเทา ๆ จัดการปัญหากันเอง แต่คอมิกของเอนนิสกลับยกให้แก๊งก้อนของคนธรรมดาที่อ่อนแอไร้พลัง
และเต็มไปด้วยไฟแค้นสุมในใจ คือผู้มาจัดการกลุ่มซูเปอร์ฮีโรที่หลงระเริงในพลังแทน จึงทำให้มันมีความน่าติดตามยิ่งกว่าเพราะเราคงสงสัยและอยากรู้ว่ามนุษย์ธรรมดา (ที่ไม่ได้เก่งเทพแบบแบทแมนด้วย) จะสังหารเหล่าเทพเจ้านั้นได้อย่างไร เมื่อประกอบกับลีลาการเล่าที่โหดสัสสะบัดช่อ เลือดเป็นเลือด เนื้อเป็นเนื้อ ใครเกลียดหนังแหวะ ๆ จะได้ดูแบบเต็ม ๆ ก็งานนี้ล่ะ
ซีรีส์นี่เลยโดนเรตไปถึง 18+ ทั้งความรุนแรง ภาษาหยาบคาย ภาพเปลือย รวมถึงเนื้อหาที่เกินเด็กไปหลายขุม แต่ก็ด้วยความจริงจังในการประเคนความรุนแรงนี้ด้วยล่ะ ยิ่งทำให้หนังใหม่ชนโรงเราลุ้นกับตัวละครไปใหญ่ว่ามันจะรอดพลังระดับเหนือจินตนาการได้อย่างไร
และทุกครั้งที่ฮีโรในเรื่องปรากฏตัวเราก็เสียวสันหลังทุกครั้งว่าจะมีตัวละครไหนตายแบบเราไม่ทันตั้งตัวหรือเปล่า ซึ่งมันทำงานได้ดีตั้งแต่ ตอนที่ 1 ที่เราเห็นการตายของตัวละครครั้งแรก ไปยันตอนที่ 8 อันเป็นตอนจบของซีซันแรกเลยทีเดียว
ด้านกลุ่มตัวเอก
สำหรับกลุ่ม The Boys จะเรียกว่าฝ่ายดีหรือฝ่ายพระเอกก็ไม่ได้เต็มปากนัก เพราะหนังเดินเรื่องด้วยตัวละครสีเทาๆ ไม่ได้มีการตัดสินความดีความชั่วสักเท่าไหร่ กลุ่มนี้ใช้ความแค้นสุดขั้วเป็นตัวผลักดันทำอะไรก็ได้
ขอแค่ล้างแค้นได้เป็นพอ ซึ่งก็มีหัวหน้ากลุ่ม Billy Butcher เป็นคนที่สุมไฟแค้นให้กับลูกทีม Mother’s Milk นักสืบนักวิเคราะห์ข้อมูลประจำทีม Frenchie พ่อค้าอาวุธและเป็นผู้คิดค้นเครื่องมือสังหารพวกซูป และพ่วงด้วย Hughie Campbell พนักงานขายเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เคยเป็นแฟนตัวยงของพวกซูปส์
ก่อนจะเสียแฟนสาวไปจากการถูก A-Train วิ่งชนตาย แล้วก็ได้ Butcher ชักจูงนำมาร่วมทีมล้างแค้นเหล่าซูปส์ให้สิ้นซาก ซึ่งความสนุกของเรื่องก็คือจุดนี้ ที่เราจะได้เห็นคนธรรมดาฆ่าซูเปอร์ฮีโร่อย่างสะใจ ด้วยวิธีพิสดารแบบถึงลูกถึงคน
หนังได้ดาราที่น่าสนใจหลายคนมาแจม ทั้งตัวหลักและที่มาเสริมได้อย่างน่าประหลาดใจ ตัวหลัก ๆ ที่เราคุ้นหน้าก็มี คาร์ล เออร์แบน ที่มารับบท บิลลี บุตช์เชอร์ หัวหน้าทีม เดอะบอยส์ ผู้ฝังแค้นต่อซูเปอร์ฮีโรผู้ภาพลักษณ์ดั่งนักบุญ
ทั้งยังเป็นซูเปอร์ฮีโรเบอร์ 1 ของโลก นาม โฮมแลนเดอร์ ที่จงใจผสมภาพระหว่างพลังของ ซูเปอร์แมน จากค่ายดีซี กับวิชวลแบบ กัปตันอเมริกา ของค่ายมาร์เวลไว้ในตัวเดียวกัน
ความเป็นตัวละครที่มีแต่ความแค้นของบิลลีทำให้เขาเป็นภาพลักษณ์ของ ไฟแค้น ที่พร้อมเผาผลาญทุกอย่างไม่เว้นแม้แต่เพื่อนร่วมทีมให้วอดวายไปพร้อมกับอริ ยิ่งทำให้ซีรีส์นี่ไม่ได้มีเพียงตัวร้ายที่เราต้องหวาดหวั่น
หากแต่การกระทำที่ไฟแค้นบังตาของฝั่งตัวเอกเองก็เป็นปัจจัยที่พร้อมจะพลิกสถานการณ์ให้เกิดอะไรขึ้นก็ได้ และการคาดเดาอะไรไม่ได้ก็คือสูตรปรุงรสสำคัญที่ซีรีส์ดัง ๆ ยุคปัจจุบันต่างมีด้วยนั่นเอง
แม้บิลลีจะเป็นตัวสำคัญในการผลักเรื่องไปข้างหน้า ทว่าผู้ชมจะถูกพาไปยังซอกซอยต่าง ๆ ของโลกในซีรีส์ด้วยสายตาของ ฮิวอี้ แคมป์เบล เด็กหนุ่มร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าผู้สูญเสียคนสำคัญไป ซึ่งรับบทโดย แจ๊ก เควด ฮิวอี้คือตัวอย่างของคำว่าผีซ้ำด้ำพลอยได้ดีที่สุด
เขาธรรมดาและอ่อนแอที่สุดในทีม ไม่ใช่อดีตทหาร ไม่ได้มีร่างกายล่ำบึ้ก ไม่ได้ฉลาดเป็นกรด เป็นแค่คนที่ถูกบิลลีจูงจมูกและหลอกใช้ประโยชน์จากความแค้นต่อฮีโรที่ไม่มีหนทางระบายออกอย่างเปิดเผยในสังคม
จนเมื่อภารกิจล้างบางฮีโรนี้ได้นำพาเขามารู้จักกับ แอนนี (รับบทโดย อีริน มอริอาร์ตี้) หญิงสาวผู้มีพลังยิงแสงสว่างออกจากร่าง เธอถูกสอนฝังหัวแต่เด็กจากแม่บังเกิดเกล้าให้โตมาเป็นฮีโรในนาม สตาร์ไลต์
ซึ่งเมื่อเธอได้เข้ามาสัมผัสกลุ่มฮีโรที่เธอใฝ่ฝันอย่าง เดอะเซเว่น จริง ๆ แล้ว มันก็เหมือนเด็กที่ได้รู้ว่าซานตาคลอสไม่มีจริง เพราะทุกอย่างคือธุรกิจที่มีนักการตลาดคอยเขียนบทเท่ ๆ ให้ฮีโรพูดตามทำตามอยู่เสมอ
แต่เธอก็อยากเชื่อว่านี่คือโอกาสให้เธอได้ช่วยเพื่อนมนุษย์อย่างที่ฮีโรควรเป็น ความสัมพันธ์ที่ค่อย ๆ ลึกซึ้งขึ้นเรื่อย ๆ ระหว่างแอนนี่กับฮิวอี้ ก็ทำให้ฮิวอี้ที่ต้องหลอกใช้แอนนี่เพื่อเข้าถึงกลุ่มฮีโรต้องอยู่ในสถานการณ์ลำบากใจไม่น้อย และนี่ก็เป็นอีกปัจจัยที่จะทำให้อะไร ๆ ยุ่งเหยิงเข้าไปอีก
ด้านตัวร้าย
พูดถึงฝั่งตัวเอกไปมากแล้ว ต้องพูดถึงตัวร้ายบ้าง จริง ๆ หนังแนวนี้จะตรึงเราติดได้ก็เพราะด้วยความเก่งและน่ากลัวของตัวร้ายเป็นสำคัญ ยิ่งไม่เห็นวี่แววจะชนะเรายิ่งอยากลุ้นอยากเอาใจช่วยพระเอก และซีรีส์นี้ก็มีตัวร้ายที่ดีอยู่ในมือมากพอด้วย กลุ่ม เดอะเซเวน ประกอบด้วยฮีโรที่ได้รับการคัดสรรจากผู้มีพลังพิเศษทั่วโลกมาเหลือเพียง 7 คน นำโดย โฮมแลนด์เดอร์ ที่เหมือนซูเปอร์แมนแบบ พระเจ้าจอมปลอม
อย่างที่บอกไปแล้ว มี ควีนเมฟ ที่ถอดมาจากวันเดอร์วูแมน ผู้มีสำนึกดีแต่อยู่เห็นโลกสีเทามานานจนไฟในใจมอดดับ มี เดอะดีป ที่คืออะควาแมน ในภาคที่หื่นกามและชะตาชีวิตตลกร้าย มี เอ-เทรน ที่คือเดอะแฟรชผสมฟอลคอน
เป็นฮีโรที่มีมิติความเว้าแหว่งแบบมนุษย์สูงมากทั้งความผิดของเขายังเป็นตัวทำให้เกิดเรื่องราวทั้งหมดขึ้น มี ทรานลูเซนต์ มนุษย์ล่องหนจอมโรคจิต และสุดท้าย แบล็กนัวร์ ฮีโรในชุดดำสุดปริศนา
ฮีโรเหล่านี้ถูกบริหารงานด้วยบุคลากรหลายร้อยคนของบริษัทชื่อ วอท ซึ่งทำให้ฮีโรกลายเป็นธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นล้านเหรียญทีเดียว แม้เรื่องนี้จะไม่บอกโต้ง ๆ ว่าเหล่าฮีโรได้เคยทำสิ่งเลวร้ายใดไว้ แต่เรารู้ว่าหนักหนาผ่านความโกรธแค้นของบิลลี แต่มันก็ถูกกดเป็นความลับจากคนดูไปแทบตลอดจนค่อย ๆ ผลิบานขึ้นทีละน้อยในแต่ละตอน
ข้อดีคือเราค่อย ๆ เข้าใจตัวละครต่าง ๆ มากขึ้น และไม่มุ่งตัดสินแบบดำขาวกับตัวละครใด ๆ ในช่วงต้นเรื่องเรายังกังขาด้วยซ้ำว่าฮีโรภาพดีเหล่านี้หรือที่เป็นตัวร้ายของเรื่อง และเอาจริง ซีรีส์ก็บอกเราว่าไม่มีฮีโรตัวไหนที่เลวบริสุทธิ์ มันต่างมีที่มามีเหตุผลในจุดที่ด่างดำของตนเอง หนักบ้างเบาบ้าง บางตัวละครก็น่าสงสารเสียด้วยซ้ำ หลายตัวมีแนวโน้มจะย้ายข้างได้
หลายตัวยิ่งพยายามเป็นคนดียิ่งต้องถลำลึกในการปิดความชั่วดั่งน้ำผึ้งหยดเดียว บางตัวคือหน้ากระดาษสีดำที่ทุกคนบนโลกเห็นเป็นผืนกำแพงใหญ่สีขาวสะอาด มันจึงยิ่งท้าทายฝั่งต่อต้านเข้าไปซ้อนหลายชั้น
นอกจากพลังระดับเทพเจ้าที่ไม่รู้จะเอาชนะอย่างไรแล้ว ด้านคนในสังคมยังเข้าข้างอย่างเต็มกำลังอีก แล้วมันจะเหลืออะไรไปชนะอีกล่ะ (ซึ่งนั่นล่ะถึงต้องตามดูจนติดหนึบ)
ความน่าประหลาดใจที่พูดทิ้งไว้อีกอย่าง คือตัวละครสมทบที่ทำให้ว้าวเหวอว่ามาด้วยเหรอ ก็มีทั้ง ไซมอน เพ็กก์ ทั้ง บิลลี เซน ทั้งเจ้าหนู ฮาลีย์ โจเอล ออสเมนต์ (เจ้าหนู ผมเห็นคนตาย ในหนัง The Sixth Sense) ที่อันนี้พีคจริงจำแทบไม่ได้ และยังอีกหลายตัวละครเลย ก็เป็นความประทับใจเล็ก ๆ ที่ทำให้ซีรีส์ดูมีอะไรให้เก็บเล็กเก็บน้อยด้วย
จุดเสีย
สิ่งที่ทำให้ซีรีส์นี้ไม่ได้ดีถึงที่สุด ก็เป็นด้วยการดัดแปลงคอมิกที่จบไปแล้วนั้นมีโจทย์ในใจที่อยากขยายเลยเถิดไปมากกว่าคอมิก ทั้งคอมิกยังมีฉากหลังว่าด้วยช่วงเวลา 9/11 เป็นสำคัญ พอต้องมาเป็นซีรีส์ก็เผชิญปัญหาอยากขายต่ออยู่ไม่น้อย
ทำให้ช่วงปลายซีซันของเรื่องเราสัมผัสได้ถึงความพยายามยืดดึงเชิง ปรับเปลี่ยนการเล่าเพื่อให้มีซีซันต่อไป ซึ่งข้อดีคือในซีซันต่อไปที่จะไม่มีคอมิกเป็นแกนเดิมแล้ว ซีรีส์ย่อมเล่าอะไรให้เราประหลาดใจได้ทุกทาง
ยิ่งปมใหญ่ที่ทิ้งบอมบ์ใส่คนดูไว้นี่ยิ่งอยากให้มีซีซันต่อไว ๆ ทีเดียว แต่ข้อเสียก็ตามที่บอกคือความประดักประเดิดของเรื่องราวในช่วงหลังที่ใคร ๆ ก็คงรู้สึกล่ะว่าไม่สนุกเท่าครึ่งแรกเลย
สรุป
สำหรับคนที่ชอบหนังสไตล์แบดกายดาร์คๆ ก็คงถูกใจหนังเรื่องนี้นัก แต่หนังก็ไม่ได้ทำได้ดีทั้งหมด ปัญหาของหนังคือการปรับเปลี่ยนเรื่องจากหนังสือการ์ตูนต้นฉบับ เพื่อเปิดปมไปยังซีซั่น 2 ในเรื่องราวที่ใหญ่โตกว่าประเด็น มนุษย์เดินดิน vs พระเจ้าจอมปลอม
ทำให้ช่วงครึ่งหลังของหนังดูยืดเยื้อ ออกนอกประเด็น อารมณ์ลุ้นน่าติดตามในช่วงแรกหายไปเกือบหมด (มีทั้งหมด 8 ตอน) เหลือแค่ดูว่าจะจบลงยังไงเท่านั้น
ซึ่งแม้หนังจะปิดปมของตัวละครหลักได้ดี แต่การเปิดเรื่องเพื่อไปต่อซีซั่น 2 ก็คงไม่รู้สึกเป็นแนวทางที่สดใหม่ได้เหมือนที่ต้นฉบับการ์ตูนทำไว้ได้อีกแล้วครับ
Comentarios