top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนCharcoal Original

Reality Z


หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Reality Z - เรียลลิตี้ Z

หนึ่งในแนวหนังหรือซีรีส์ที่มักจะดึงความสนใจจากคอหนังสยองขวัญได้เสมอคงหนีไม่พ้นหนังหรือซีรีส์แนวซอมบี้ ซึ่งพอหมดยุคจอร์จ เอ โรเมโร่ ที่ถือเป็นบิดาหนังซอมบี้แล้ว มรดกสำคัญนอกเหนือจากภาพลักษณ์ของซากศพเดินดิน การกระหายเนื้อมนุษย์ การกัดเพื่อแพร่เชื้อไปจนถึงวิธีกำจัดที่มุ่งเน้นการทำลายสมองทั้งใช้ปืนยิงและตัดหัวแล้ว เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าซอมบี้ยังคงถูกใช้เพื่อวิพากษ์วิจารณ์สังคม หรือการเมืองอยู่จนถึงปัจจุบัน รีวิว Reality Z


เรื่องย่อ


ขณะที่ฝูงซอมบี้อาละวาดทั่วรีโอเดจาเนโร เหล่าผู้เข้าแข่งขันรายการเรียลลิตี้ที่หลบอยู่ในสตูดิโอต้องเผชิญกับปัญหาที่มากกว่าฝูงผีดิบกระหายเลือด


 

หนึ่งในแนวหนังหรือซีรีส์ที่มักจะดึงความสนใจจากคอหนังสยองขวัญได้เสมอคงหนีไม่พ้นหนังหรือซีรีส์แนวซอมบี้ ซึ่งพอหมดยุคจอร์จ เอ โรเมโร่ ที่ถือเป็นบิดาหนังซอมบี้แล้ว มรดกสำคัญนอกเหนือจากภาพลักษณ์ของซากศพเดินดิน


การกระหายเนื้อมนุษย์ การกัดเพื่อแพร่เชื้อไปจนถึงวิธีกำจัดที่มุ่งเน้นการทำลายสมองทั้งใช้ปืนยิงและตัดหัวแล้ว เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่าซอมบี้ยังคงถูกใช้เพื่อวิพากษ์วิจารณ์สังคม หรือการเมืองอยู่จนถึงปัจจุบัน


โดย Reality Z ซีรีส์ซอมบี้จากบราซิลเองก็ไม่เว้น และที่สำคัญวัตถุดิบอย่างสภาพสังคมการเมืองที่เต็มไปด้วยความเหลื่อมล้ำต่ำสูงไปจนถึงการคอรัปชันของนักการเมืองที่กัดกินประเทศก็สามารถเอา “ซอมบี้” ในฐานะผีดิบตายซากไปเป็นหนึ่งในการวิพากษ์วิจารณ์สังคมการเมืองได้เป็นอย่างดี


โดยบอกเล่าผ่าน 2 กลุ่มตัวละครที่ดูเหมือนจะได้แรงบันดาลใจมาจาก The Walking Dead ซีรีส์ซอมบี้ระดับโลกจากอเมริกาไม่น้อย ซีรีส์ซอมบี้ Netflix จากประเทศบราซิล ที่รีเมคจาก Dead Set ซีรีส์ซอมบี้ประเทศอังกฤษเมื่อปี 2008


เนื้อเรื่อง


เรื่องนี้รีเมค Dead Set จากต้นฉบับมีแค่ 5 ตอนเท่านั้น ใน Netflix จึงนำมาเพิ่มขยายเป็น 10 ตอน ตัวเรื่องช่วงแรกเหมือนกัน แต่ถูกปรับเปลี่ยนเพิ่มเนื้อหาให้มากขึ้นในครึ่งหลัง ซึ่งตัวต้นฉบับถือว่าทำได้ดีพอตัว แต่ด้วยความที่เรื่องเก่ามากแล้ว


พอมาเป็นเวอร์ชั่นใหม่นี้หลายๆ อย่างกลับไม่ถูกพัฒนาขึ้น เหมือนยังวนอยู่ในยุคหนังซอมบี้เก่าๆ จนกลายเป็นซีรีส์ซอมบี้ที่เชยล้าสมัยเอามากๆ ยิ่งถ้าเทียบกับไม่นานนี้ที่มี “เวตาล” ซีรีส์ซอมบี้จากอินเดีย เรื่องนั้นจะเห็นว่าบทและรายละเอียดของซอมบี้


ถูกปรับฉีกแตกต่างออกไปมากมาย ซอมบี้ในปัจจุบันไม่ใช่แค่วิ่งเร็ว มันต้องมีอะไรมากกว่านี้ถึงจะทำให้คนรู้สึกแปลกใหม่ได้บ้าง ไม่ใช่จำเจอยู่กับมุกเดิมๆ กัดแล้วติดเชื้อแบบเก่าๆ อีกต่อไปแล้ว


การเล่าเรื่อง


เรื่องนี้ไม่ใช่แนวสยองขวัญโดยตรงมาตั้งแต่เวอร์ชั่นก่อนแล้ว ตัวเรื่องถูกวางไว้เป็นแนวตลกเสียดสีรายการทีวีเรียลลิตี้โชว์ดังสมัยก่อนในยุคที่พึ่งเริ่มมีอะไรแบบนี้ พอหยิบเอาบทย้อนยุคไป 10 กว่าปี ตัวเรื่องจึงไม่ได้แปลกใหม่อะไรนัก


แต่สำหรับคนที่ไม่เคยดูแนวซอมบี้ตลกๆ ก็อาจจะรู้สึกแปลกใหม่ได้บ้าง ซึ่งก็มีช็อตขำๆ กับการกระทำของตัวละครที่หมกหมุ่นอยู่กับความนิยมจากทางบ้าน ไม่ก็เรื่องชู้สาวในบ้านนี้ที่เรียกว่า “โอลิมปัส” ที่จำลองมาจากเทพกรีกโบราณ


ให้ผู้เข้าแข่งขันแต่งตัวเป็นแนวเทพมาใช้ชีวิตด้วยกัน และก็สร้างบ้านนี้ไว้ให้อยู่ได้ด้วยตนเองยาวๆ จากพลังงานแสงอาทิตย์และน้ำที่มีใช้ได้เหลือเฟือ พร้อมอุปกรณ์เครื่องใช้อำนวยความสะดวกในบ้านครบครันแบบรายการเรียลลิตี้โชว์ดีๆ


ซึ่งเรื่องก็เอาจุดนี้แหละมาผูกว่าที่นี่เลยกลายเป็นฐานที่มั่นชั้นดีกว่าที่อื่น เพราะเป็นที่ปิดอยู่ได้ด้วยตนเองพร้อมมีกล้องวงจรปิดสอดส่องดูได้ทุกซอกทุกมุม ตัวละครในเรื่องจึงลงหลักปักฐานที่นี่พร้อมใช้เครื่องส่งสัญญาณทีวีออกอากาศให้คนภายนอกได้รับรู้เหตุการณ์ไปในตัว (ยังมีคนดูอยู่จริงๆ ด้วย)


นอกจากกลุ่มผู้เข้าแข่งขันในบ้านโอลิมปัสแล้ว เรื่องยังแบ่งเล่าถึงกลุ่มตัวละครด้านนอกที่เป็นผู้ให้กำเนิดสถาณที่แห่งนี้ด้วย ซึ่งคนเป็นแม่คือเจ้าของรายการเก่าที่ถูกไล่ออก และเมื่อเกิดซอมบี้บุกเมืองจึงหวนกลับไปกับลูกชายเพื่อหวังใช้โอลิมปัสเป็นฐานที่มั่นเอาชีวิตรอดเช่นกัน ซึ่งระหว่างทางก็จะต้องผจญภัยไปเจอกับกลุ่มตัวละครอื่นอีก


อย่างนักการเมืองดัง ตำรวจปราบจราจล ที่ตอนนี้กลายเป็นโจรปล้นน้ำมัน แต่เรื่องก็วางให้ทุกคนด้านนอกมุ่งหน้ามาที่โอลิมปัสทั้งหมด และก็คาดเดาไม่ได้ว่าใครเป็นตัวละครหลักกันแน่ เพราะเรื่องค่อนข้างฆ่าตัวละครทิ้งระหว่างทางบ่อยครั้งเหมือนกัน


แม้ Reality Z จะไม่ได้ให้มุมมองหนังใหม่เต็มเรื่องอะไรใหม่ ๆ ในการบอกเล่าหรือทำให้ซอมบี้มีวิวัฒนาการอะไรที่เพิ่มขึ้น แถมยังเป็นงานรีเมกมาจาก Dead Set มินิซีรีส์ของอังกฤษอีกด้วย แต่โดยส่วนตัวในฐานะคนที่ชื่นชอบหนังและซีรีส์ซอมบี้ติดตามแบบหว่านแหทั้งดีและเลว


ก็ต้องบอกว่า Reality Z ถือเป็นซีรีส์ที่ดูสนุก มีความน่ากลัว ความแหวะ ในแบบที่ทำได้ถึงใจคอหนังซอมบี้นะครับ ที่สำคัญคือการบอกเล่าเรื่องราวที่ต้องบอกเลยว่า เดาทางไม่ค่อยถูกและตัวละครแต่ละตัวมันก็สามารถนำมาแทนภาพคนในสังคมการเมืองได้เป็นอย่างดี


โดยเฉพาะบรรดาผู้เข้าแข่งขันในครึ่งแรกของซีซันที่มันจิกกัดบรรดาคนอยากดังทั้งหลายได้เป็นอย่างดี และการเอา Olympus หรือ วิมานพระเจ้ามาใช้เป็นฉากหลังรายการยังทำให้เห็นว่าคนต้นคิดไอเดียมีความล้ำลึกมาก


เพราะทุกวันนี้คนเริ่มทำตัวเสมอเทพต่าง ๆ เข้าไปทุกทีและมันสะท้อนวัฒนธรรมบริโภคนิยมที่รายการเรียลลิตีทำมาสนองและป้อนความยิ่งใหญ่ให้วงจรอุบาทว์ยังเดินหน้าต่อไปได้อย่างเจ็บแสบ


และที่สำคัญหลังจากผ่านวันโลกาวินาศแล้ว สถานะของคนดูซีรีส์ยังถูกเรื่องราวบีบให้เราตัดสินตัวละครไปเรื่อย ๆ ไม่ต่างจากตบหน้าคนดูอีกฉาด เมื่อเกิดจุดหักมุมและคนดีก็ไม่ได้หมายความว่าจะรอดจากวันโลกาวินาศเหมือนหนังหรือซีรีส์เรื่องอื่น ซึ่งตรงนี้มันทำให้เราลุ้นระทึกและเริ่มมองตัวละครทุกตัวอย่างพินิจพิเคราะห์และอยากติดตามไปจนจบได้เป็นอย่างดี


โครงเรื่องดี...


ที่จริงโครงเรื่องนี้ถือว่าแปลกแหวกแนวเลยทีเดียว แต่ตัวเรื่องกลับไม่สามารถครีเอทอะไรให้แปลกใหม่ได้มากกว่าหนังซอมบี้ที่มีอยู่เกลื่อน ตัวเรื่องครึ่งแรกยังวนเวียนกับพล็อตซอมบี้ในแบบเดิมๆ ซึ่งถ้าใครดูหนังซอมบี้มาประจำก็คงเฉยๆ


แถมยังจะรู้สึกขัดใจกับการกระทำโง่ๆ ของตัวละครอย่างไม่น่าเชื่อ ยกตัวอย่าง จู่ๆ ก็มีตัวละครหนึ่งคิดว่าซอมบี้เป็นมิตรเชื่องๆ พยายามจะเข้าไปจับมือด้วย ทั้งๆ ที่ทั้งกลุ่มก็ห้าม ไม่ก็มีเพื่อนโดนกัดแล้วหวังดีจะรักษา ก็ปล่อยไว้จนโดนกัดซะเอง


แถมไม่ใช่แค่ครั้งเดียวที่มีเรื่องแบบนี้ ยังมีตัวละครอื่นทำซ้ำแบบเดียวกันต่อมาอีก เหมือนผู้สร้างยังอยู่ในยุคสมัยที่พึ่งเริ่มมีหนังซอมบี้ที่บทแนวหวังดีจะรักษาเพื่อนนี่มันล้าสมัยไปแล้ว


ครึ่งแรกจึงเหมือนกำลังนั่งดูหนังซอมบี้ยุคเก่าๆ แบบแค่พอดูผ่านๆ ได้ ครึ่งหลังถึงค่อยมีอะไรแปลกใหม่ด้วยการใช้อุปกรณ์ในบ้านโอลิมปัสให้เป็นประโยชน์กับการฆ่าซอมบี้ และก็ทำออกมาด้วยมุมกล้องจากในห้องคอนโทรลกับภายในบ้านคู่กันในฉากเดียว


เหมือนเรากำลังดูพวกเรียลลิตี้เว็บหนัง HD โชว์ผ่านเบื้องหลังห้องควบคุม และก็ต่อด้วยการเสียดสีเรียลลิตี้โชว์แบบเรียลจริงๆ ด้วยการให้พวกที่อยู่ในโอลิมปัสกลายเป็นเหมือนพระเจ้าในยุคซอมบี้ล้างโลก มีอำนาจคัดเลือกสมาชิกใหม่ที่เหลือรอดจากภายนอกมาสร้างโลกใหม่


และก็คิดพวกเกมทดสอบหาทางคัดคนออกจากบ้านโอลิมปัส ซึ่งช่วงนี้แหละที่เรื่องค่อยดูสนุกขึ้นมาจริงจังหน่อย แต่ด้วยความที่ดันมาตอนใกล้จบ ตัวเรื่องจึงไม่เหลือเวลาให้ปูทำอะไรได้อีกแล้ว นอกจากรีบๆ ตัดจบเรื่องแบบไม่ค่อยเข้าท่าด้วยการให้ตัวละครหลายตัวตายแบบไร้ค่าและไม่สมเหตุผลเอามากๆ ก่อนทิ้งปมตอนจบไว้สักนิดเผื่อทำต่อ แต่ก็ไม่ได้ชวนอึ้งหรือน่าติดตามอะไรเลยจริงๆ


ข้อเสีย


ข้อเสียเรื่องตัวละครโง่ๆ ที่ว่ามาด้านบนถ้ามองว่านี่เป็นหนังตลกสยองขวัญก็อาจจะแถๆ ได้ว่าตั้งใจทำให้ตลกก็พอได้ แต่สิ่งที่ต้องใช้คำว่าแย่จริงๆ ในเรื่องนี้คือ ความอ่อนด้อยของซอมบี้ในเรื่องนี้แพ้อะไรโง่ๆ อย่างตกบ่อน้ำพุตื้นๆ กลับลุกไม่ขึ้น เป็นจุดอ่อนของซอมบี้ที่เรียกว่างี่เง่าที่สุดที่เคยมีมาเลย


แถมแค่เอาอะไรแทงหัวหรือตัดโดนหัวตรงไหนก็ได้ตายสนิททุกตัว หัวซอมบี้ในเรื่องก็เปราะบางเหมือนแตงโม ใช้อะไรก็แทงทะลุได้ง่ายๆ ไปหมด เรื่องจึงกลายเป็นซอมบี้ถูกฆ่าอย่างง่ายดาย แต่ตัวละครในเรื่องก็ยังกรี๊ดกร๊าดกลัวซอมบี้พวกนี้อยู่ตลอด


ทั้งๆ ที่ฆ่าไปเป็นเบือด้วยวิธีเดิมๆ ซอมบี้เองก็เหมือนพวกง่อยเปลี้ยไม่ค่อยมีแรงแบบเรื่องอื่นในยุคใหม่ พังสิ่งกีดขวางอะไรไม่ค่อยได้ ออกแนวออกันทุบประตูอยู่ตั้งแต่ต้นเรื่องยันจบเรื่อง ยังดีที่เมคอัพค่อนข้างดี เน้นแหวะลากไส้ออกมากินบ่อย (บ่อยมากด้วย)


จึงมีความน่ากลัวแบบหนังซอมบี้หลงเหลืออยู่ให้พอเชื่อว่านี่เป็นหนังสยองขวัญติดมาไม่ใช่แค่แนวตลกจากการกระทำโง่ๆ ของตัวละครในเรื่องที่มีเยอะเหลือเกินครับ

รีวิว Reality Z

จุดที่ชอบ


โดยส่วนตัวชอบมากที่สุดเห็นจะเป็นเรื่องราวในช่วงท้ายของซีซันที่บทบาทของซอมบี้เริ่มถูกลดความสำคัญลงเหลือแค่สถานการณ์และปล่อยให้เกมอำนาจระหว่างมนุษย์ดำเนินไปให้เราได้เฝ้าติดตามเลยทำให้เราได้เห็นความโสมมของคน


โดยเฉพาะตัวนักการเมืองอย่าง ส.ส. อัลเบอร์โต เลวี ที่คิดหาประโยชน์จากวิกฤติด้วยหวังจะเป็นราชันย์ครองโลกใหม่โดยไม่สนความถูกต้องก็ช่วยให้เรื่องราวเข้มข้นและชี้ชวนให้เห็นถึงสัจธรรมข้อหนึ่งที่หนังซอมบี้ทุกเรื่องพยายามย้ำเตือนเรานั่นคือ ไม่มีอะไรน่ากลัวกว่ามนุษย์ด้วยกันอีกแล้วได้เป็นอย่างดี


โดยสิ่งที่เจ็บแสบที่สุดของบทซีรีส์คือการเอารายการเรียลลิตีที่อาศัยคะแนนโหวตมาเป็นฉากหลัง และมันถูกใช้เป็นกลไกในการ “คัดคนออก” ซึ่งแม้จะดูเป็นประชาธิปไตยในพื้นฐานความหมายที่ทุกคนยอมรับ


แต่ในขณะเดียวกันมันก็ทำให้เห็นว่าท้ายที่สุดเกมทั้งหลายก็ต้องถูกควบคุมด้วยผู้มีอำนาจ ไม่ว่าจะเป็น ซุส ที่มาประกาศผู้แพ้ในรายการ หรือ ส.ส. อัลเบอร์โต ที่แต่งตั้งตัวเองเป็นประมุขหลังเข้ามายึดอำนาจในสตูดิโอ


และเริ่มเกิดกลุ่มอำนาจใหม่เข้ามาคุกคามที่ทำให้เห็นว่า ท้ายสุดแล้วสิ่งที่กัดขาดความหมายของประชาธิปไตยให้แหว่งวิ่นในยามวิกฤติโรคระบาดหาใช่ซอมบี้ แต่คือผู้ปกครองที่ไม่ได้มองมนุษย์เท่ากัน

ยิ่งช่วงหลังพอมีตัวละครใหม่ ๆ โผล่มาเราก็จะยิ่งได้เห็นธาตุแท้ของตัวละครแต่ละคนได้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นความคมคายของบทที่เอาวัฒนธรรมพอปอย่างซอมบี้มาวิพากษ์การเมืองได้โคตรฉลาดและแสบถึงทรวง


โดยรวม


โดยรวมแล้วข้อดีสำคัญของ Reality Z คือความสนุกแบบคนบอผีบ้าป่าช้าแตกที่หยิบจับความประสาทแตกของมนุษย์มาตีแผ่แบบไม่ยั้ง ทั้งคนอยากดัง คนอยากรอด และคนอยากมีอำนาจ จริงอยู่ว่าหากมองในเชิงศิลปะการกำกับการแสดงแล้วก็ต้องบอกว่าตัวละครแต่ละตัวค่อนข้างแบน


ไม่ค่อยมีมิติเท่าที่ควรและการตีความซอมบี้ก็ไม่ได้ต่างจากหนังหรือซีรีส์ซอมบี้เรื่องอื่น แต่มันตอบสนองคนดูที่ต้องการความตื่นเต้นได้ดีนะ แม้หลายครั้งตัวละครจะทำอะไรโง่ ๆ ให้ต้องลำไยบ้างก็ตาม


สรุป


ซีรีส์ซอมบี้ที่พล็อตดูแปลกใหม่น่าสนใจ แต่บทกลับเป็นการหนีซอมบี้แบบเชยๆ ตัวสกิลความสามารถซอมบี้ก็เป็นไปตามสูตรยุคเก่าเริ่มแรก ไม่มีอะไรใหม่ให้เห็นเลยแม้แต่น้อย แถมยังอ่อนแอกว่าปกติที่ควรจะเป็น


ผสมกับการกระทำไม่สมเหตุผลของตัวละครที่ออกแนวโง่ฉับพลันจากบทที่วางไว้กะให้ตลก จึงกลายเป็นหนังซอมบี้ที่น่าผิดหวังเอามากๆ แม้ช่วงใกล้จบจะพอมีเรื่องแนวเสียดสีเรียลลิตี้โชว์จริงจัง แต่ก็ไม่พอที่จะกู้ความน่าผิดหวังหลายอย่างในเรื่องนี้ได้ครับ

ดู 99 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Search WWW

The Crowned Clown

You Are My Spring

Comments


bottom of page