รีวิว Move to Heaven
ผลงานออริจินัลซีรีส์จาก Netflix ที่พูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าดีที่สุด ตราตรึง และสร้างความประทับใจที่สุดจากบรรดาซีรีส์ออริจินัล Netflix เกาหลีทั้งหมด ซีรีส์ที่จะบอกคุณว่าทุกชีวิตล้วนมีเรื่องราว ทุกการจากไปล้วนทิ้งร่องรอย ของทุกสิ่งที่หลงเหลือไว้ล้วนเป็นตัวบอกเล่าความในใจของคนที่จากไปสู่คนข้างหลังที่ยังต้องอยู่ ชีวิตคนเราไม่มีคำว่าตลอดไป ‘เวลาที่ยังมีชีวิต’ จึงกลายเป็นสิ่งที่ล้ำค่าที่สุด รีวิว Move to Heaven
เรื่องย่อ
พนักงานเก็บกวาดที่เกิดเหตุที่จดจ่อและใส่ใจรายละเอียดและอาที่เหินห่างกันไปนาน ได้สัมผัสเรื่องราวชีวิตที่ไม่มีใครล่วงรู้ของบรรดาผู้ตายและนำส่งต่อไปยังบุคคลผู้เป็นที่รัก
เรื่องนี้เป็นงานสร้างของ Netflix โดยตรง ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2019 แต่ติดปัญหาโควิดจนต้องหยุดพักไปในปี 2020 ก่อนจะมาถ่ายทำใหม่ในปี 2021 โดยมาจากต้ยฉบับ บทความชื่อ “Things Left Behind” ของผู้เขียน Kim Sae-byul ที่เขียนจากประสบการณ์ในสายงานอาชีพทำความสะอาดที่เกิดเหตุโดยตรง
ซึ่งเขาถือเป็นสเปเชียลลิสต์ในสายงานนี้ มีความพิเศษกว่าปกติ และถ่ายทอดเรื่องราวที่พบเห็นอย่าง คนสันโดษ กักตัวอยู่ในบ้าน ผู้ป่วยติดเตียงเพียงลำพัง ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นเรื่องสะเทือนใจและมีปัญหาที่ผู้ตายคั่งค้างไว้เสมอ
ซึ่งความพิเศษเรื่องราวที่ไม่ค่อยมีใครรู้ในด้านนี้ ก็ถูกนำมาสร้างเป็นซีรีส์เรื่องนี้ลงโดยผู้กำกับ Kim Sung-ho ที่ผ่านงานทำภาพยนตร์มาแล้วหลายเรื่อง แต่เรื่องนี้เป็นซีรีส์ยาวเรื่องแรกของเขา
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวของเด็กหนุ่มวัย 20 ปี กือรู (แสดงโดย ทังจุนซัง) ที่ป่วยเป็นโรคแอสเพอร์เกอร์ อาศัยอยู่กับพ่อ ฮันจองอู (แสดงโดย จีจินฮี) เจ้าของบริษัท Move To Heaven รับจ้างเก็บกวาดบ้านพักของผู้ตายเป็นครั้งสุดท้าย ระหว่างทำความสะอาดห้องพัก พ่อและกือรูจะเก็บของสำคัญของผู้ตายไว้ในกล่องสีเหลือง
เพื่อส่งมอบและถ่ายทอดเรื่องราวที่ยังค้างคาใจของผู้ตายให้ครอบครัวได้รับรู้ หลังจากพ่อเสียชีวิตกือรูต้องอาศัยอยู่กับอา โจซังกู (แสดงโดย อีเจฮุน) พวกเขาต้องทดลองอยู่ด้วยกันเป็นเวลา 3 เดือน เพื่อประเมินว่า โจซังกูสามารถทำหน้าที่เป็นผู้ปกครอง ตามพินัยกรรมที่ฮันจองอูทำไว้ได้หรือไม่
ในแต่ละตอนจะพูดถึงเรื่องราวดูหนังออนไลน์ของผู้ตาย การสืบค้นหาความจริงที่ผู้ตายอยากถ่ายทอดให้ครอบครัวรับรู้ เนื้อเรื่องแต่ละตอนทำออกมาได้น่าติดตาม ผูกปมเรื่องได้น่าสนใจ แต่ยังสอดแทรกแก่นแท้ของเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของโจซังกูและกือรู
จากที่ตอนแรกทั้งสองดูเหมือนเข้ากันไม่ได้ แต่เมื่อได้อยู่ร่วมกัน ทำงานด้วยกัน ตัวตนที่แท้จริงของแต่ละคนค่อย ๆ เผยออกมา กำแพงที่ขัดขวางความสัมพันธ์ก็พังทลายลงกลายเป็นความผูกพันธ์ สายใยแห่งครอบครัว
อาชีพเก็บกวาดที่มีอยู่จริง!
ซีรีส์นำเสนออาชีพที่แปลก แต่มีจริง และก็มีความสำคัญพอๆ กับอาชีพในสายงานเดียวกันอย่างกู้ภัย ซึ่งตัวเรื่องในตอนแรกเป็นการบอกเล่าถึงรายละเอียดขั้นตอนการทำงานของบริษัท Move to Heaven (เคลื่อนย้ายสู่สวรรค์) ที่พ่อของพระเอกตั้งขึ้นมา
ซึ่งเราจะได้เห็นรายละเอียดจริงๆ ของขั้นตอนการเก็บกวาดสิ่งต่างๆ แม้ไม่มีศพเละๆ อะไรให้เห็น แต่คนปกติก็ไม่อยากหรือไม่กล้าจะเข้ามาทำ การเก็บกวาดมีทั้งเลือด นำ้หนอง ขยะ กำจัดสิ่งสกปรกทุกอย่างในห้องให้กลับมาปกติ
รวมถึงกลิ่นก็ต้องไม่ให้เหลือ ซึ่งอาชีพนี้จะมาทำงานหลังจากตำรวจเก็บหลักฐานไปหมดแล้ว หรืองานหลายครั้งก็เป็นห้องของผู้ตายที่อื่นไม่ใช่ที่เกิดเหตุ แต่คนในบ้านไม่ต้องการเก็บเอง ซึ่งนั่นคืองานทั้งหมดของอาชีพนี้
แต่สิ่งที่ซีรีส์ใส่เพิ่มเข้ามาคือ เรื่องราวการค้นหาส่งต่อของสำคัญของผู้ตายไปยังจุดหมายปลายทางที่ค้างคาไว้ ซึ่งฮันกือรูเป็นแอสเพอร์เกอร์ที่หมกหมุ่นกับการค้นหาคาดเดาเรื่องราวที่ผู้ตายคัางคาไว้ สำหรับตัวเขาเหมือนเป็นการต่อจิ๊กซอว์ปริศนา
ซึ่งอาการของคนเป็นโรคนี้เมื่อตั้งใจทำอะไรจะต้องทำให้สำเร็จจนเกินคนปกติ ซึ่งซีรีส์เองหยิบเอาความพิเศษตรงนี้มาสอดรับเข้ากับเรื่องราว และทำให้ตัวเอกเป็นเหมือนอัจฉริยะด้านการปะติดปะต่อสิ่งของที่เหลืออยู่ให้เป็นเรื่องราวบอกเล่ากลับมาได้
ซึ่งบางครั้งก็กลายเป็นการช่วยงานสืบสวนตามจับคนร้ายไปในตัวด้วย แต่จุดนี้ไม่ใช่เรื่องราวหลักของซีรีส์ เรื่องนี้เน้นหนักไปที่ดราม่าการคลี่คลายปมที่เหลืออยู่ของผู้ตายเป็นสำคัญ แต่ไม่ได้เป็นแบบจบในตอน แต่เป็นเรื่องราวต่อเนื่องกันยาวๆ เหมือนหนังขนาดยาวเกือบ 10 ชั่วโมงจบมากกว่า (มี 10 ตอน) ส่วนใหญ่แต่ละเคสจะใช้เวลาเกือบสองตอนถึงจบคลี่คลายหมด
การดำเนินเรื่อง
จะบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้คือภาพสะท้อนของความโดดเดี่ยว ก็ใช่ หรือจะบอกว่าซีรีส์เรื่องนี้คือตัวแทนความอบอุ่นที่หาได้เพียงแค่เปิดใจมอง ก็ใช่อีก คนเขียนบทนี่ยังไงนะ ถึงสามารถสานต่อเรื่องราวออกมาได้พอเหมาะพอเจาะ และควบรวมสองอารมณ์เข้าด้วยกันอย่างกลมกลืน
กือรู ยืนอยู่บนฐานะของเด็กพิเศษ ที่ไม่เพียงแต่มีความสามารถในการจดจำสิ่งที่เขาสนใจเท่านั้น แต่มีความสามารถในการจดจำสิ่งต่าง ๆ ที่ได้พบ ได้เห็นและได้ยินอย่างแม่นยำและไม่ลืมเลือน ประหนึ่งเครื่องบันทึกความทรงจำกันเลย
สะท้อนสังคม
ภาพสะท้อนที่ซีรี่ย์ Netflixใส่เข้ามาในทุก ๆ Ep สามารถแยกอารมณ์เราเป็นสองฝั่งอย่างเรียบง่าย เราสามารถรู้สึกอบอุ่นอย่างประหลาด ไปกับความสัมพันธ์ของตัวละคร ไม่ว่าจะเป็น กือรูกับพ่อ กือรูกับโจซังกูููผู้เป็นอา หรือกือรูกับ ‘ยุนนามู’ (ฮงซึงฮี) เพื่อนบ้านฝั่งตรงข้ามที่รักและเป็นห่วงกือรูดุจกัลยาณมิตร ที่สอดส่องทุกเรื่องของกือรู
แต่ในอารมณ์อบอุ่นที่พร่างพราวอยู่ตลอดทั้งเรื่อง กลับมีอีกอารมณ์หนึ่งที่เล่นล้อเคียงข้างดุจเงาตามตัว และทำให้จุกแน่นในอก คือความโดดเดี่ยว อ้างว้างและการถูกทอดทิ้ง จากการเกิดและมีของบริษัทรับจ้างเก็บกวาดบ้านของผู้ที่เสียชีวิตเพียงลำพัง ซึ่งมีอยู่จริง ๆ ในญี่ปุ่นและเกาหลี
ซีรีส์เล่นกับประเด็นสังคมที่บอกว่า เราต่างถูกทอดทิ้งและเราเองยังเป็นหนึ่งในคนที่ทอดทิ้งใครบางคนให้อยู่ข้างหลังเสียเอง ความคาดไม่ถึงของเรามีส่วนทำให้สังคมนี้ โดยเฉพาะสังคมเมืองที่มีการแข่งขันกลายเป็นสังคมสมัยใหม่ที่แห้งแล้ง โดดเดี่ยว การจากไปของเพื่อนบ้าน หรือแม้แต่ความรู้สึกของคนข้าง ๆ ไม่ใช่สิ่งที่น่าสนใจมากเพียงพอสำหรับเรา เราต่างละเลยมัน
ซีรีส์กำลังบอกเราว่า ทุกวันนี้เราดูแลกันดีแล้วจริงเหรอในฐานะของพลเมือง ในฐานะของเพื่อนมนุษย์ เราไม่รู้เลยว่า มีคนมากมายถูกโดดเดี่ยวและพวกเขาต้องพบกับความโศกเศร้ามากแค่ไหน กลายเป็นซอกหลืบแห่งความเป็นมนุษย์ที่ไร้คนสนใจ
เรามองแต่เรื่องฉาบฉวย แม้ว่าเขาจะใช้ชีวิตอยู่ข้าง ๆ เรานี่เอง ในทุก ๆ ตอนของซีรีส์มีสาส์นเหล่านี้อยู่อย่างเต็มล้น แตกต่างกันที่สีสันและเรื่องราวที่นำเสนอในแต่ละตอน ที่มันช่างกินใจเท่านั้นเอง
จุดเด่นของเรื่อง
ก่อนดูอาจจะคิดว่าเรื่องราวคงเป็นตอนๆ กับงานเก็บกวาด และต้องเน้นดราม่าในแต่ละเคสหนักๆ ซึ่งโดยรวมก็ยังเป็นแบบนั้น แต่กลายเป็นว่าเรื่องราวของอาพระเอก “โจซังกู” ที่ออกมาจากคุก โดยเกลียดแค้นพี่ชายตัวเองอย่างไม่ทราบสาเหตุ
และยังไม่สนใจไยดีหลาน มาอยู่ด้วยเพียงแค่ต้องการมรดกที่พี่ชายทิ้งไว้ให้ฮันกือรูเท่านั้น ส่วนนี้กลับเป็นส่วนที่ค่อยๆ ขยายลงลึกเรื่องราวลงไปหลายส่วนใหญ่โต ทั้งปมในอดีตว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่ ตัวนิสัยแย่ๆ ของโจซังกูในตอนแรกก็ค่อยๆ มีพัฒนาการเป็นผู้เป็นคนดีขึ้นเรื่อยๆ
แถมด้วยความน่ารักอย่างคาดไม่ถึงจากการเป็น คนดีที่น่าสับสน ซึ่งฮันกือรูให้ความเห็นถึงอาของตัวเองไว้ อีกทั้งตัวละครโจซังกูคือนักมวยเก่าที่มีชีวิตในอดีตกับมวยเถื่อนใต้ดิน เป็นส่วนอาชญากรรมของเรื่องราวที่แม้ไม่เยอะ
แต่เข้มข้นมากๆ เรียกว่าเป็นอีกด้านของซีรีส์ที่ดุเดือด รุนแรง ดาร์ค และยังพ่วงด้วยดาราสมทบ อีแจอุค (LEE JAE WOOK) พระเอกหน้าใหม่จากซีรีส์ Do Do Sol Sol La La Sol Extraordinary You, ซึ่งเชื่อเลยว่าคนที่เคยดูผลงานของเขาต้องทึ่งกับการแสดงที่สมบาทและมีเสน่ห์สุดๆ
และในเรื่องนี้แม้เป็นบทสมทบที่กว่าจะออกมาก็ตอน 6 ไปแล้ว แต่พอได้แอร์ไทม์เต็มๆ ควบคู่กับโจซังกู ในบทเด็กที่ถูกรังแกและกลายมาเป็นนักมวยโดยมีโจซังกูเป็นคนฝีกสอน กลายเป็นตอนที่เรียกน้ำตาและกระชากอามณ์ของเรื่องมาก
คนดูจะได้เห็นชะตากรรมของโจซังกูที่รันทดยิ่งกว่าหลานซะอีก และยังกลายเป็นตราบาปกัดกินใจเขามาถึงปัจจุบัน และยังตามมาทำลายชีวิตช่วงที่เขากำลังพยายามเป็นผู้ปกครองให้หลานอีกด้วย
โดยรวม
ถึงซีรีส์ Move To Heaven ทั้ง 10 ตอนจะเป็นซีรีส์ดราม่าที่พูดถึงความตายทั้งหมด และพยายามนำเสนอเรื่องการตายออกมาในหลากหลายรูปแบบ ทั้งการฆ่าตัวตาย โรคสมองเสื่อม การฆาตกรรม ฯลฯ แต่ก็สามารถทำออกมาได้ดีเยี่ยม นำเสนอออกมาไม่ได้ดูน่ากลัว
เพราะแต่ละจุดมีที่มาที่ไปมีเหตุผลสนับสนุน ทำให้ดูแล้วไม่รู้สึกเศร้าสลดหดหู่ กลับเป็นการเยียวยาหัวใจผ่านการเคารพผู้ที่จากไป ซึ่งให้ข้อคิดที่ดี อาจเปลี่ยนมุมมองชีวิต ช่วยให้เราใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังมากขึ้น การได้ดูซีรีส์เรื่องนี้ถือว่าคุ้มค่า เป็นซีรีส์ที่สมควรดูแห่งปี 2021
สรุป
ซีรีส์เกาหลีที่เน็ตฟลิกซ์สร้างเองและมีความแตกต่างจากปกติอยู่ไม่น้อย ไม่ขายตัวละครหล่อสวยเกินจริงแบบปกติ หรือยัดเยียดเรื่องรักเข้ามาแบบทั่วไป แต่เป็นเรื่องราวของอาชีพเก็บกวาดสิ่งของคนตาย และส่งต่อของสำคัญให้คนที่ยังอยู่ ซึ่งเรื่องราวอ้างอิงมาจากเรื่องจริงของผู้เขียนเรื่องนี้โดยตรงด้วย
แม้เรื่องจะเป็นแนวดราม่าสะเทือนใจทุกตอน แต่หัวใจของเรื่องคือพัฒนาการความสัมพันธ์ของตัวละครอากับหลานในเรื่องที่ทำออกมาได้ดีมากๆ ทั้งยังมีปมอาชญากรรมมวยเถื่อนในโลกใต้ดินมาเป็นเส้นเรื่องที่ดุเดือดและดิบมากๆ จนเป็นส่วนที่น่าติดตามที่สุดของเรื่องด้วย (แต่ซีรีส์ไม่จบในซีซั่นมีต่อ)
Comments