รีวิว Lovestruck in the City - ความรักในเมืองใหญ่
ความรักเป็นเรื่องปกติในสากลโลก ความรักเกิดขึ้นได้ทุกที่ ทุกเพศทุกวัย และทุกหนทุกแห่ง มีซีรีส์บางเรื่องก็มุ่งเน้นเล่าเรื่องความรักของคนเมืองเป็นหลัก ความรักของคนในเมืองใหญ่จะมีลักษณะสีสันอย่างไร แตกต่างไปไหมจากคนในเมืองเล็กๆ รีวิว Lovestruck in the City
เรื่องย่อ
เรื่องมีอยู่ว่าทั้ง 6 คนต้องมาถ่ายทำรายการหนึ่งที่สัมภาษณ์เรื่องราวความรักของตัวเองซึ่งแต่ละคนก็มีเรื่องราวที่ต่างกันออกไปโดยที่แต่ละคนก็ไม่รู้ว่าใครถูกสัมภาษณ์บ้าง แต่บังเอิญว่าเรื่องของแต่ละคนมันดันเป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกัน
ก่อนหน้านี้พระเอกได้เจอกับนางเอกในช่วงระยะเวลาสั้น ๆ ทั้งสองมีสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งต่อกัน แต่หลังจากนั้นทั้งสองก็ไม่ได้เจอกันอีกเลย แถมนางเอกก็ขโมยกล้องถ่ายรูปพระเอกไปด้วยและโกหกอีกต่างหากว่าชื่อจริง ๆ ของตัวเองชื่ออะไร
แต่อย่างไรก็ตามพระเอกก็ยังไม่อาจลืมประสบการณ์รักครั้งนั้นได้ เขายังไม่ลืม แม้ว่านางเอกจะทำเรื่องเจ็บแสบขนาดไหน เวลาผ่านมาจนทั้งคู่ก็ได้มามีโอกาสมาถ่ายรายการ โอกาสที่ทั้งคู่โคจรมาเจอกันจะมีไหมและเรื่องราวความรักของคนที่เหลือท่ามกลางเมืองอันใหญ่โตจะดำเนินไปอย่างไร
ซีรีส์มีความน่าสนใจจากตัวผู้กำกับ Park Shin-Woo ที่มีผลงานชิ้นเยี่ยมแห่งปี 2019 It’s Okay to Not Be Okay เรื่องหัวใจ ไม่ไหวอย่าฝืน ซึ่งความดีงามของเรื่องคือความแปลกใหม่ในแนวทางหนังรักโรแมนติก และก็สำรวจเรื่องราวของผู้ป่วยจิตเวชหลากหลายแบบที่ออกมาเป็นดราม่าซึ้งๆ อบอุ่นอย่างไม่น่าเชื่อ
ผลงานในเรื่องใหม่นี้เองจึงถูกคาดหวังว่าจะไม่แพ้กัน ซึ่งก็ต้องบอกกันตรงๆ ว่าจาก 6 ตอนที่ได้รับชมในเวลานี้ ซีรีส์ยังห่างชั้นในหลายๆ ด้านกับผลงานเรื่องก่อนของผู้กำกับคนนี้มาก แต่ก็ต้องยอมรับว่าผู้กำกับคนนี้มีสไตล์ที่แตกต่างในการเล่าเรื่องรักแนวนิยมเกาหลีต่างจากทั่วไปมาก และสไตล์ที่แตกต่างนั้นก็ถูกนำมาเป็นจุดขายของซีรีส์ใหม่เรื่องนี้โดยตรง
เนื้อเรื่อง
เมื่อสาวรักอิสระคนหนึ่งขโมยหัวใจเขาไปหลังความรักก่อตัวขึ้นที่ริมหาด สถาปนิกหนุ่มไฟแรงจึงหวังว่าจะได้พบเธออีกครั้งในกรุงโซล ซึ่งก็ไม่ได้แปลกใหม่อะไร แต่สิ่งที่ทำให้เรื่องนี้ดูแปลกแตกต่างคือ การเล่าเรื่องแบบ สารคดีจำลอง Mockumentary หรือสารคดีปลอม
ด้วยการเปิดเรื่องให้ตัวละครหลักพระเอก “พัคแจวอน” รับบทโดย Ji Chang-Wook กับนางเอก “ยุนซอนอา” รับบทโดย Kim Ji-Won ต้องถูกสัมภาษณ์จากคนทำสารคดีในหัวข้อสำรวจชีวิตรักของหนุ่มสาวในกรุงโซล โดยเป็นสารคดีแบบตามติดถ่ายชีวิตทั้งคู่ไปเรื่อยๆ ในหัวข้อความรักต่างๆ กันไปในแต่ละตอน
อย่างครั้งแรกของทั้งคู่รู้สึกยังไง เวลาเลิกกันทำยังไงกับสิ่งของที่เป็นความทรงจำร่วมกัน ซึ่งตัวเรื่องก็จะย้อนอดีตกลับไปถึงเรื่องราวความรักที่เกิดขึ้นของทั้งคู่ในปี 2019 ที่ห่างจากการสัมภาษณ์ในปัจจุบันไม่นาน
แต่เปลี่ยนโทนภาพให้เป็นแนววินเทจคลาสสิคแบบหนังฟิล์มเก่าๆ จนเหมือนอยู่ในยุค 90 มากกว่าปัจจุบัน และตัวพระเอกเองก็มีงานอดิเรกใช้แต่ของโบราณหน่อยอย่างกล้องฟิล์ม โพลารอยด์ จักรยานวินเทจ จนชวนให้คิดว่าเรื่องเล่าในอดีตนี้เหมือนอยู่ในยุค 90 มากกว่าปัจจุบัน และก็เล่าเรื่องตามลำดับการพบเจอกันของทั้งคู่จนถึงปัจจุบันที่แยกทางกันแล้วในมุมมองที่ต่างกัน
ความแปลกยังไม่จบแค่นี้ ตัวเรื่องไม่ได้สัมภาษณ์แค่คนสองคน แต่สัมภาษณ์ 50 คน โดยเจาะโฟกัสเลือกมาเล่าในเรื่องหลักๆ 6 คน ชาย 3 หญิง 3 ซึ่งพระเอกนางเอกที่กล่าวไปคือคู่หลักของเรื่อง และมีคู่อื่นประกอบเสริมแทรกเข้ามาในหัวข้อคำถามความรัก
โดยความพิเศษของสารคดีนี้คือจะตัดต่อส่งคำตอบให้คนอื่นๆ ดูด้วยในแต่ละคำถาม พร้อมทั้งเปิดเผยว่าใครเป็นคนพูดตอบด้วยชัดเจน ซึ่งเรื่องก็จะตัดเอาความเห็นของคนอื่นแทรกสลับมาในเรื่องเล่าของพระเอกที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับความรักของเขา
เขาทำอะไรผิดไปถึงถูกนางเอกทิ้ง ซึ่งพระเอกก็ถูกคนอื่นวิพากษ์วิจารณ์ไปต่างๆ นาๆ ไปพร้อมกับฟีดแบ็คของทุกคนตอบกลับตอนเล่าเรื่องนี้ไปพร้อมกัน
การเล่าเรื่อง
จะเห็นว่าวิธีการเล่าเรื่องนี้ค่อนข้างแปลกมาก จนทำให้งงๆ กับการดูสารคดีปลอมๆ ที่ไม่เหมือนปลอมจริงๆ เพราะแค่เซ็ทเรื่องการถูกสัมภาษณ์ไว้หลอกๆ เท่านั้น ต่างกับหนังสารคดีปลอมจริงๆ ที่พยายามทำให้เหมือนจริง
เพียงแต่เรื่องดูหนังฟรี มันจะโอเว่อร์จนทำให้ผู้ชมรู้เองว่านี่ไม่ใช่เรื่องจริง (ตัวอย่างซีรีส์สารคดีปลอมดังๆ ใน Netflix คือ American Vandal ที่จำลองการสืบสวนคดีบ้อบอในโรงเรียนไฮสคูล) ซึ่งถ้าตัดการเล่าเรื่องแบบนี้ออกไป ก็จะเห็นว่าตัวซีรีส์คือหนังรักปกติดีๆ นี่เองแหละ
และก็เน้นเล่าเรื่องคู่พระเอกนางเอกเป็นหลักในทุกตอน 90% มากกว่าของคนอื่นที่มีแทรกมาเป็นน้ำจิ้มแค่นั้น แม้ว่าเรื่องจะมีคู่เมนหลักแน่นอนและคนอื่นเป็นบทสมทบ ดูเหมือนแยกขาดจากกัน แต่จริงๆ คือตัวละครทั้งหมดมีความเกี่ยวพันถึงกันบางคน และก็มีส่วนเกี่ยวข้องกับคู่เมนหลัก ซึ่งตัวเรื่องค่อยๆ เผยออกมาภายหลัง
จุดเด่น
การเล่าเรื่องแบบจำลองฉากสัมภาษณ์คู่รักในหัวข้อต่างๆ (เป็นแนวสารคดีเทียม) ภาพที่ใช้โทนวินเทจดูเก่าสวยละมุน แต่จริงๆ คือยังอยู่ในช่วงปีปัจจุบัน 2019-2020
นางเอกกับอีกคนเป็นพวกรักสนุกชั่วข้ามคืนวันไนท์สแตนด์ ตรงข้ามกับผู้ชายที่พยายามจริงจังกับความรัก ซึ่งแต่ตอนเป็นตอนสั้นๆ แค่ 20-30 นาทีจบ
จุดด้อย
การเล่าเรื่องหนังใหม่ชนโรง แบบสารคดีเทียมสมมุติให้เหมือนจริง แต่กลับไม่ค่อยสนใจจะทำให้สมจริงจนดูขัดแย้งกันเอง
การเล่าเรื่องที่พยายามทำแบบอินดี้ให้หลายตัวละครพูดแทรกกันไปมาจนแอบน่ารำคาญ
ความรักในเรื่องขึ้นต้นมาด้วยแนวเรียลๆ สมัยใหม่ แต่พอเรื่องดำเนินไปสักพักกลับกลายเป็นแนวเรื่องแต่งเหมือนนิยายมากกว่าจะดูเป็นจริงแบบตอนแรก
โดยรวม
ความรักในเรื่องพยายามสร้างให้ดูทันสมัยกับบทนางเอกรักสนุกแบบวันไนท์สแตนกับพระเอกคืนเดียว ซึ่งไม่ได้มีให้เห็นกันง่ายๆ ในซีรีส์หนังรักเกาหลี แต่นอกจากนั้นแล้วเรื่องก็ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้
ซึ่งจากที่ขึ้นต้นด้วยนางเอกรักสนุกกับตัวละครครูพละสาวสวยที่ไม่เคยขาดผู้ชาย ส่วนตัวนึกว่าเรื่องจะทำออกมาทันสมัยแรงๆ มากกว่านี้ได้อีก แต่พอหลุดจากช่วงแรกไปเรื่องก็กลายมาเป็นแนวสูตรรักแบบเดิมๆ ทั่วไป คู่รักในเรื่องยังคงวางพล็อตแนวพหรมลิขิต ความบังเอิญ
หรือการรักมั่นคงไม่เปลี่ยนแปลง จนดูกลายเป็นความรักแบบในนิยายมากกว่าจะเป็นแนวเรียลจริงจังตามที่ชื่อเรื่องและธีมการเล่าแบบสารคดีที่ชวนให้คิดแบบนั้น ในส่วนนี้ก็เลยกลายเป็นน่าผิดหวังไปโดยปริยาย
สรุป
ซีรีส์รักโรแมนติกจากผู้กำกับ It’s Okay to Not Be Okay ในแง่ความแปลกใหม่ถือว่าได้ เรื่องเล่าด้วยภาพสไตล์ย้อมสีวินเทจที่ดูละมุนอบอวลไปด้วยความรักแบบคลาสสิค กับการจำลองเรื่องเป็นสารคดีสัมภาษณ์คู่รักหลายคู่
แต่เรื่องราวความรักในเรื่องก็ยังคงเป็นสูตรเดิมๆ จนน่าผิดหวังกับความพยายามฉีกแนวเล่าเรื่องให้สมจริงตามที่ควรจะเป็น แต่ถ้าไม่คิดถึงเรื่องความสมจริงก็ถือว่าดูเพลินๆ ได้เพราะแต่ละตอนสั้นแค่ 20-30 นาทีจบ
Comments