top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนCharcoal Original

Lovecraft Country


ดูหนังออนไลน์

รีวิว Lovecraft Country

ซีรีส์ระดับเรือธงจากฝั่ง HBO GO ที่จั่วหัวด้วยชื่อโพรดิวเซอร์ระดับโลกถึง 2 คนคือ เจ.เจ. แอบรัมส์ ที่เคยปั้นหนังสัตว์ประหลาดอย่าง Cloverfield ให้รสระทึกและเขย่าขวัญ (กับภาคต่อ) สำเร็จสวยงาม และอีกคนก็คือ จอร์แดน พีล จาก Get Out ราชาหนังสยองขวัญยุคใหม่ที่เอาประเด็นสังคมอย่างเรื่องสีผิว-ความเหลื่อมล้ำมาผสมความสยองแบบวินเทจสไตล์ได้น่าดูชม รีวิว Lovecraft Country


เรื่องย่อ

ซีรีส์ HBO Go แนวสยองขวัญย้อนยุค สร้างจากนิยายชื่อดังของ 2 โปรดิวเซอร์ชื่อดัง J. J. Abrams กับ Jordan Peele


ซีรีส์ที่ขายชื่อของสองคนดัง J. J. Abrams กับ Jordan Peele (ผู้กำกับเขียนบทจาก Get Out ที่ได้ออสการ์มาครอง) ซึ่งทั้งคู่มีชื่อเสียงกับแนวหนังคนละแบบทั้งแแนวหนัง ประเด็นที่เล่น แต่ก็มีความคล้ายคลึงกันตรงหนังของทั้งคู่จะมีความสดใหม่ในเนื้อเรื่องที่ไม่เหมือนเรื่องไหนมาก่อน


และจุดเด่นของทั้งคู่ก็มารวมกันอยู่ในซีรีส์เรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด ทั้งการมิกซ์ยำเรื่องราวเหนือธรรมชาติย้อนยุคของเจเจเข้ากับเรื่องสยองขวัญผ่านตัวละครผิวดำในช่วงยุคที่การเหยียดผิวยังรุนแรงอันเป็นสไตล์ของ จอร์แดน พีล


แล้วยังไม่พอยังเพิ่มองค์ประกอบความสยดสยองระดับตำนานด้วยสไตล์เรื่องเล่าปรัมปราของ เอช.พี. เลิฟคราฟต์ ราชานิยายสยองแนวลัทธิความเชื่อและสัตว์อสุรกายโบราณเข้ามาผสม นั่นทำให้ Lovecraft Country กลายเป็นซีรีส์แนวสยองขวัญที่น่าจับตามองที่สุดในห้วงเวลานี้


เนื้อเรื่อง


ตัวเรื่องเกิดขึ้นในช่วงยุค 1950 สมัยที่อเมริกันยังเต็มไปด้วยการเหยียดผิวอย่างรุนแรง มีการแบ่งพื้นที่อยู่อาศัยของคนขาวคนดำชัดเจน ตัวเอกของเรื่อง Atticus Freeman เป็นทหารผิวดำผ่านศึกที่กลับตามหาพ่อที่หายตัวไปในเมืองลึกลับแห่งหนึ่ง


โดยอาศัยความช่วยเหลือจากอาและเพื่อนสาววัยเด็กที่ตกงานเลยติดสอยห้อยตามมาผจญภัยด้วย จนไปพบเจอกับเรื่องแปลกพิสดารที่เกิดตามมาติดๆ หลังจากพ่อของเขาถูกกลุ่มคนผิวขาวชั้นสูงลึกลับกักตัวไว้ และต้องการบางสิ่งซ่อนอยู่ในตัวเอกของเรื่องนี้


การดำเนินเรื่อง


การดำเนินเรื่องของซีรีส์ว่าด้วยพระเอกที่ชื่อ แอตทิคัส ‘ทิก’ ฟรีแมน (โจนาธาน เมเจอร์ส) ทหารผ่านศึกที่กลับมาบ้านเกิดเพราะการหายตัวไปของพ่อที่ไม่ถูกกันของเขา เขาพบจดหมายของพ่อให้ไปตามหาที่เมืองอาดาม เมืองปริศนาที่ไม่มีในแผนที่


เขาจึงขอความช่วยเหลือจากลุงแท้ ๆ อย่าง ลุงจอร์จ ฟรีแมน (คอร์ทนีย์ บี. แวนซ์) ผู้มีอาชีพเขียนหนังสือไกด์การเดินทางสำหรับคนผิวดำ (ใครเคยดูหนังออสการ์ Green Book ก็เล่มเดียวกันนี่ล่ะ)

และได้เพื่อนร่วมทางอีกคนเป็นสาวข้างบ้านที่ขอติดรถไปหาพี่ชายอย่าง เลตทิเทีย ‘เลตี้’ ลูอิส (เจอร์เน สโมลเล็ต ที่เคยรับบท แบล็กคานารี จากหนัง Birds of Prey) การเดินทางสู่ดินแดนแห่งความน่ากลัวของสหายต่างวัยต่างที่มาจึงเริ่มต้นขึ้น


ตอนที่ 1 Sundown


อาจเรียกได้ว่าเป็นตอนที่ชอบที่สุดในขณะนี้ แม้ว่าเวลาเกินกว่าครึ่งจะหมดไปกับการปูพื้นเรื่อง และเล่าสภาพสังคมวัฒนธรรมอเมริกันยุค 1950 ที่การเหยียดสีผิวยังคงรุนแรง จนทำให้การเดินทางไปยังเมืองปริศนาที่ไม่มีในแผนที่กลับเป็นเรื่องไม่น่ากังวลเท่า การผ่านเมืองธรรมดา ๆ


ที่ต้องไปเสี่ยงดวงว่าจะเป็นที่ต้อนรับหรือไม่ เพราะแค่เข้าร้านอาหารผิด ชีวิตชาวผิวดำก็อาจจะเปลี่ยนได้ทันที เหล่าเจ้าบ้านอาจต้อนรับอาคันตุกะต่างสีผิวด้วยปืนลูกซองอย่างไม่เกรงกลัวกฎหมายเลยทีเดียว

อันที่จริงบรรยากาศความไม่ปกติของเรื่องสามัญ ๆ ต่าง ๆ ในตอนนี้ มาจากผู้ถือกฎหมายในมือเองเสียด้วยซ้ำ ซึ่งซีรีส์ก็ฉลาดในการนำความประหลาดในยุคที่สิทธิ์คนต่างสีผิวไม่เท่ากันมาเล่นให้คนดูรู้สึก กลัว


ยิ่งในช่วง 10 นาทีท้ายของตอนนี้ ดูหนังออนไลน์และซีรีส์ก็ได้ยกระดับจากหนังดราม่าผิวสีธรรมดา ขึ้นเป็นหนังระทึกขวัญสไตล์จอร์แดน พีล ด้วยเหตุการณ์พลิกผันเมื่อเหล่าตัวเอก ดันมาเจอนายอำเภอผิวขาวที่วางท่าน่ากลัวว่าเมืองนี้อยู่ใต้กฎข้อบังคับว่าคนผิวดำห้ามเดินทางไปไหนมาไหนในช่วงหลังพระอาทิตย์ตก (อันเป็นที่มาของชื่อตอน)


ในความหมายว่าหากเหล่าตัวเอกยังอยู่ในพื้นที่เมืองที่เขาดูแลจนเลยเวลาดวงอาทิตย์ลับฟ้าเมื่อใด เขากับเหล่าตำรวจก็พร้อมจะล่าและฆ่าให้หมดนั่นเอง และในช่วง 5 นาทีสุดท้ายซีรีส์ก็สะบัดท่าไปเป็นสไตล์สัตว์ประหลาดทางถนัดของ เจ.เจ. แอบรัมส์ เข้าอีก คือมาสนุกมากเอา 10 นาทีหลังนี่เลยล่ะ


และไอ้ความที่เปลี่ยนแนวไปทุกตอนของซีรี่ย์ Netflix ก็ทำเอาจับทางไม่ถูกเหมือนกันว่า นี่มันหนังแนวไหนกันแน่หว่า แล้วเนื้อหาของช่วงตอนแรก ๆ ที่ยังไม่เข้าที่เหมือนตัวต่อที่เรายังมองไม่ออกว่าอยู่ตรงไหนของรูป ก็ชวนให้รู้สึกไม่ยากว่า มันไม่มีทิศทางหรือเอกลักษณ์อะไรสักอย่างเลย ดูคล้าย ๆ ซีรีส์จบในตอนที่ใช้ตัวละครร่วมกันแค่นั้นเสียด้วยสำหรับตอนที่ 1-3

รีวิว Lovecraft Country

ตอนที่ 2 Whitey’s on the Moon


ในตอนแรกเป็นแนวดราม่าผิวสี ตอนที่ 2 Whitey’s on the Moon เป็นแนวหมู่บ้านลึกลับกับลัทธิโบราณที่เกี่ยวข้องกับพวกพ่อมดแม่มด (แบบที่เปลี่ยนมู้ดจากตอนแรกไปคนละเรื่องเลย และเป็นตอนที่ดรอปสุดทั้งแง่คุณภาพและความสนุก)


ตอนที่ 3 Holy Ghost


กลายเป็นแนวบ้านเฮี้ยนวิญญาณหลอน (ดูแบบจบในตอนก็อิ่มดีได้เหมือนกัน)

ตอนที่ 4 A History of Violence


ทุกอย่างเริ่มมาเคลียร์ในตอนที่ 4 A History of Violence นี่ล่ะ ที่ถึงแม้จะเป็นสไตล์ผจญภัยหาสมบัติอัศจรรย์แบบ อินเดียน่า โจนส์ คือแปลกไปอีกแนวอีกแล้ว แต่สำหรับตัวเนื้อหาเริ่มเชื่อมโยงได้ภาพเดียวกันแล้ว


และน่าจะชัดเจนขึ้นว่าตัวละครกำลังมุ่งไปในทิศทางไหนกันแน่ รวมถึงคำใบ้ที่เปิดมาแล้วทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ตั้งแต่ตอนที่ 1 ก็น่าจะได้รับการวกกลับไปเล่าใหม่อีกครั้งด้วย น่าสนใจทีเดียว


การผสมของความไซ-ไฟและระทึกขวัญ


Lovecraft Country ดำเนินเรื่องในช่วงปี 1955 ยุคที่กฎหมาย Jim Crow ถูกบังคับใช้ในตอนใต้ของอเมริกาเพื่อแบ่งชนชั้นคนดำกับคนขาว Atticus Freeman หรือ ‘ทิค’ (รับบทโดย Jonathan Majors) ทหารผ่านศึกที่กลับบ้านมาเพราะได้จดหมายจากพ่อที่หายตัวไป เขาพบกับ Letitia Lewis (รับบทโดย Jurnee Smollett) เพื่อนสนิทในวัยเด็กผู้โดนพี่สาวผลักไสออกจากบ้าน


ประจวบเหมาะกับเวลานั้น George Freeman (รับบทโดย Courtney B. Vance) ลุงของทิควางแผนจะขับรถข้ามประเทศเพื่อเขียน The Safe Negro Travel Guide (หนังสือบันทึกเส้นทางท่องเที่ยวที่ปลอดภัยสำหรับคนดำ) ทิคและเลตี้จึงขอติดรถไปด้วย


โดยมีจุดหมายคือ Ardham เมืองที่มีชื่อปรากฏในจดหมายของพ่อ แล้วทั้งสามก็ออกเดินทางโดยไม่รู้เลยว่าชีวิตของพวกเขากำลังจะเปลี่ยนไปตลอดกาล


จุดเด่น


แต่สิ่งที่โดดเด่นจริงๆ และทำให้เรื่องดูมีอะไรดีมากกว่าการขายฉากรุนแรงแบบนั้นก็คือ การที่โฟกัสเรื่องอยู่ในช่วงยุคสมัยที่มีการล่าหัวคนผิวดำแบบไม่ต้องเกรงกลัวกฎหมายกันเลย เพราะยุคนั้นตำรวจผิวขาวก็ทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นกับอาชญากรรมที่เกิดขึ้นกับคนผิวดำอยู่แล้ว


ซึ่งตัวเรื่องแทรกการเหยียดผิวรุนแรงแทบจะตลอดเวลาในทุกๆ ฉากที่กลุ่มตัวเอกของเรื่องพบเจอคนผิวขาว ผ่านตัวละครพระเอกนางเอกที่มีนิสัยไม่ยอมใคร และกล้าท้าทายความอยุติธรรมที่เกิดในยุคนั้นด้วย

ในเรื่องจะมีฉากการเหยียดผิวผ่านการคุกคามหลายๆ แบบที่ดูแล้วสยองน่ากลัวกว่าพวกฉากรุนแรงจากเรื่องเหนือธรรมชาติเสียด้วยซ้ำ ซึ่งส่วนนี้ถอดมาจากหนัง จอร์แดน พีล ตรงๆ เลยก็ว่าได้


แถมยังให้กลุ่มตัวร้ายของเรื่องเป็นคนผิวขาวแบบเดียวกับหนัง Get Out ที่ภายนอกดูดีมีน้ำใจ แต่เบื้องหลังโหดร้ายเกินคาดคิด ตัวเรื่องส่วนนี้จึงเป็นอะไรที่สยองของจริงมากที่สุดในเรื่องนี้ครับ


จุดด้อย


แต่ปัญหาของเรื่องก็คือการยำใหญ่แบบนึกจะใส่อะไรก็ใส่มานี่แหละครับ ซึ่งก็เป็นสไตล์บทหนังของเจเจที่ตั้งใจให้คนดูคาดเดาไม่ได้ว่าจะมีอะไรแหวกแนวโผล่เข้ามา แต่มันกลับทำให้เรื่องดูเป็นการยำของอะไรหลายๆ อย่างมากไปหน่อย


จนทำให้อารมณ์ของเรื่องแกว่งไปมามีทั้งตลก สยอง ดราม่า รัก เหมือนอยากให้มีทุกแนวในอยู่ในเรื่อง ซึ่งถ้าคนชอบก็อาจจะชอบเลย แต่ถ้าไม่ชอบก็คือไม่ชอบเพราะความมั่วของอะไรหลายๆ อย่างในเรื่องนี้นี่แหละครับ


โดยรวม


เอาจริงคือรู้สึกมั่ว ๆ งง ๆ กับภาพรวมซีรีส์มาตลอดตอนที่ 1-3 จนจะเขียนรีวิวก็ไม่รู้จะเริ่มยังไงดี แต่หลังจากนี้น่าจะดูได้ลื่นขึ้นสนุกขึ้นแล้ว และจึงกล้ามาแนะนำว่า นี่เป็นซีรีส์เรือธงของ HBO GO ที่น่าสนใจมาก ๆ อีกเรื่องหนึ่งจริง ๆ ล่ะ


สรุป


ตัวซีรีส์แบ่งเป็นตอนๆ ในแต่ละตอนจะมีจุดสยองขวัญเด่นๆ แตกต่างกัน โดยมีโครงเรื่องหลักเชื่อมกันหลวมๆ ไว้อยู่ มีทั้งหมด 10 ตอนจบซีซั่นครับ ซึ่งจบสมบูรณ์ในตัวเลย ยังไม่ได้กำหนดทำต่อซีซั่น 2 ในตอนนี้

ดู 198 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Search WWW

The Crowned Clown

You Are My Spring

Comments


bottom of page