top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนCharcoal Original

Ingress: The Animation


หนังใหม่เต็มเรื่อง

รีวิว Ingress: The Animation - อินเกรส พลังงานผ่ามิติ: ดิ อนิเมชั่น

การ์ตูนแนวกึ่งสืบสวนสอบสวนแอคชั่นไซไฟผสมกับแฟนตาซีพลังจิตเหนือมนุษย์ เรียกได้ว่าอารมณ์มันรวมกันค่อนข้างที่จะหลากหลายมาก ซึ่งพล็อตเรื่องมันก็ไม่ได้แปลกใหม่ไปซะทีเดียว แต่มันน่าสนใจตรงที่หากเราค้นพบสสารที่ส่งผลกระทบกับจิตใจและพลังของผู้คนซึ่งมีอยู่กับเรามาอย่างยาวนานจะถูกนำมาใช้เช่นไร รีวิว Ingress: The Animation


เรื่องย่อ


ในปี 2013 องค์กรวิจัยนิวเคลียร์ CERN ได้มีแผนลับๆ ในชื่อ Niantic Plan เพื่อศึกษาถึง Exotic Matter (XM) สสารที่มีผลต่อความสามารถและวิญญาณนับจากอดีตกาลของมนุษย์ที่มองด้วยตาเปล่าไม่เห็น ซึ่งกลายเป็นความขัดแย้งตามมา สองกลุ่มจึงทุ่มสุดกำลังในศึกแย่งชิงเพื่อที่จะให้ได้ควบคุมพลังอำนาจนี้


 

การ์ตูนแนวกึ่งสืบสวนสอบสวนแอคชั่นไซไฟผสมกับแฟนตาซีพลังจิตเหนือมนุษย์ เรียกได้ว่าอารมณ์มันรวมกันค่อนข้างที่จะหลากหลายมาก ซึ่งพล็อตเรื่องมันก็ไม่ได้แปลกใหม่ไปซะทีเดียว แต่มันน่าสนใจตรงที่หากเราค้นพบสสารที่ส่งผลกระทบกับจิตใจและพลังของผู้คนซึ่งมีอยู่กับเรามาอย่างยาวนานจะถูกนำมาใช้เช่นไร


แอนิเมชั่นซีรีส์สำหรับฉายทางโทรทัศน์ของช่อง Fuji TV ที่ขึ้นชื่ออยู่แล้วในญี่ปุ่นได้นำ Ingress เกมวิช่วลโลกเสมือนสุดโด่งดังของค่าย Niantic เจ้าเดียวกับที่ทำเกม Pokemon GO จนโด่งดังมาแล้ว

มาผสานเนื้อเรื่องสุดเข้มข้นแนวแอคชั่นไซไฟกลายมาเป็น Ingress: The Animation ออกฉายตั้งแต่ปีที่แล้วจนถึงปีนี้รวมความยาว 11 ตอน และล่าสุดเน็ตฟลิกซ์ก็ได้นำมาลงให้บ้านเราได้รับชมแบบซับไทยเรียบร้อย


เนื้อเรื่อง


ภายในสถาบัน CERN แล็บที่ค้นพบอนุภาคฮิกส์โบซอน ได้มีการทดลองโครงการลับภายใต้ชื่อ The Niantic Project หลังจากที่เหล่านักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบอนุภาค Exotic Matter (XM) ที่มีผลต่อสมองมนุษย์ และมนุษย์บางส่วนก็สามารถใช้พลังเหนือมนุษย์ได้


ซึ่งแท้จริงสสารนี้ได้อยู่ควบคู่ในประวัติศาสตร์มนุษย์มาแล้วทุกยุคทุกสมัย กำเนิดโบราณสถานศักดิ์สิทธิ์และมหาบุรุษมากมาย ณ ปัจจุบันได้เกิดสองขั้วอำนาจต่างแย่งชิงพื้นที่ของ XM เพื่อสนองอุดมคติที่ต่างกัน


ฝ่ายรู้แจ้งคือผู้ต้องการใช้พลังตามหลักวิวัฒนาการทางธรรมชาติ ในขณะที่ฝ่ายต่อต้านต้องการควบคุมการใช้พลังที่อาจเป็นอันตรายในอนาคต แต่เบื้องหลังนั้นยังมีฝ่ายที่ 3 ที่แอบแทรกแซงและหวังผลบางประการอยู่ด้วย


จากคนที่เล่นเกม


ส่วนตัวคือเป็นคนที่เล่นเกม Ingress มาตั้งแต่ช่วงแรก ๆ เห็นการพยายามสร้างเรื่องราวของตัวเกม และจัดอีเว้นท์พิเศษให้ผู้เล่น 2 ฝ่าย ออกมาทำสงครามแย่งพื้นที่กันอยู่เนือง ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเกมมีศักยภาพในการต่อยอดไปสู่เรื่องราวในรูปแบบอื่น ๆ อยู่แล้ว


ซึ่งมองกลับไปตัวเกมก็เหมือนหนังใหม่เต็มเรื่องนิยายวิทยาศาสตร์ที่ถูกทำออกมาให้เกิดขึ้นในโลกจริงอยู่แล้ว ความสนุกของการใช้มือถือเดินในแผนที่จริงและทำการสร้างเสาเชื่อมพื้นที่ และทำลายเสาของฝั่งตรงข้าม แบบเกมหมากกระดานที่รูปแบบพลิกแพลงไม่ตายตัว


เป็นอะไรที่ทำให้เกิดกลุ่มสัมพันธ์และกิจกรรมนอกบ้านที่สนุกสนานมาก ยิ่งคอไซไฟด้วยแล้วเหมือนได้เป็นสายลับที่ออกทำปฏิบัติการโดยที่ชาวบ้านทั่วไปไม่รู้ตัวว่าอีกมิติหนึ่งกำลังมีสงครามใหญ่ปะทุ ดีไม่ดีบ้านของบางคนเป็นเสาพลังงานโดยเจ้าบ้านยังไม่รู้เรื่องก็มีถมเถเลย คือเป็นอะไรที่ล้ำมาก ๆ ในยุคนี้ทีเดียว


การดำเนินเรื่อง


อารมณ์การดำเนินเรื่องในช่วงแรกจะเป็นแนวสืบสวนสอบสวนเลย ทั้งการหาปริศนาของพลังและปริศนาของตัวละครกับโปรเจกต์ลับบางอย่างขององค์กรลึกลับโดยใช้พลังของตัวพระเอกในการแก้ไขปริศนาต่างๆ แต่หลังจากนั้นอารมณ์ของตัวเรื่องจะเป็นแนวแอคชั่นไล่ล่าชิงไหวชิงพริบกับองค์กรลับไปโดยปริยาย


ตัวซีรีส์เรื่องนี้ก็นำจุดนั้นล่ะมาสานต่อเรื่องราว โดยว่าด้วย นักวิทยาศาสตร์สาวนาม ซาร่าห์ ถูกไล่ล่าโดยกลุ่มลึกลับ 2 ฝ่ายที่เรียกตัวเองว่าฝ่ายรู้แจ้ง และฝ่ายต่อต้าน โดยยังมีกลุ่มทุนใหญ่จากจีนนามว่า HULONG (อารมณ์เหมือนจะเป็น Huawei ผสม กูเกิ้ล ไงไม่รู้ 55) อีกกลุ่มที่เข้ามาสอดแทรก


ส่วนพระเอกของเราคือ มาโกโตะ ตำรวจพิเศษผู้มีพลังไซโคเมทรี่สามารถอ่านความทรงจำของวัตถุต่าง ๆ ได้ ก็จับพลัดจับผลูเข้ามาช่วยเหลือซาร่าห์ได้แล้วต้องตามหาความจริงของการไล่ล่าครั้งนี้ ทำให้เขาปะทะกับ แจ็ก บุรุษชุดดำจากฝ่ายต่อต้าน


ที่พยายามตามล่าพวกเขาเช่นกัน และยิ่งสืบเรื่องราวก็ยิ่งใหญ่โตขึ้นเรื่อย ๆ เมื่อมีการค้นพบ อนุภาค XM มืด ที่พลังรุนแรงและเกี่ยวข้องกับโครงการที่มีเป้าหมายยึดครองโลก


ซึ่งพอดูไปเรื่อยๆ จะพบว่าตัวเรื่องมีการใส่เรื่องราวต่างๆ มาหลายประเด็นมาก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมือง ปรัชญา สังคม อารยธรรม จริยธรรมความเป็นมนุษย์ และต่างๆ อีกมากมายซึ่งมันก็สามารถแตกย่อยเป็นประเด็นต่างๆ ได้อีกมากมายให้พูดถึง


สำหรับคนที่เก็ตก็คงจะชอบดูแล้วสนุกเพราะมีเรื่องให้ต้องคิดตามมากมาย แต่สำหรับคนที่ไม่เก็ตก็คงจะปวดหัวนิดๆ คือมันเยอะและย่อยยากอยู่พอสมควร อาจจะดูแล้วน่าเบื่อไปเลย เพราะอารมณ์ของเรื่องมันก็ออกจะเนือยๆ ตามสไตล์การ์ตูนญี่ปุ่นเลย . ถึงแม้ตัวเรื่องจะเน้นพูดถึงการแยกพลังออกเป็นสองฝ่าย แต่กลับไม่ได้เล่าออกไปทางแนวสงครามฝ่าย แต่กลับเล่าไปในทางแนวการร่วมมือกันของพลังทั้งสองฝ่ายที่ไม่น่าจะเข้ากันได้ มาใช้ในการแก้ปัญหาและผ่านอุปสรรคร่วมกันซะมากกว่า ทำให้เราไม่ได้เห็นพลังที่หลากหลายเท่าที่ควร


จุดที่น่าสนใจ


ซึ่งความน่าสนใจตรงที่รูปแบบพลังจะถูกแบ่งออกมาเป็นสองฝ่ายด้วยกัน ฝ่ายแรก “ผู้รู้แจ้ง” จะเป็นสีเขียว เชื่อว่าพลังอยู่กับผู้คนอย่างเป็นธรรมชาติ และ “ผู้ต่อต้าน” จะเป็นสีน้ำเงิน เชื่อว่าเราอยู่เหนือพลังและสามารถควบคุมได้ด้วยเทคโนโลยี


โดยจะมีโทเทมเป็นโบราณวัตถุตามสถานที่ต่างๆ เป็นตัวเพิ่มหรือเร่งพลังให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น โดยมีตัวแปรเป็นนางเอกที่มีความสามารถมองเห็นแยกแยะพลังของทั้งสองฝ่ายได้ เพราะปกติคนธรรมดาทั่วไปจะมองไม่เห็น แต่จะใช้เทคโนโลยีจับสัญญาณมาดูเขตแดนพลังแทน . แต่เอาเข้าจริงการดึงพลังออกมาใช้ของทั้งสองฝ่ายแทบจะไม่แตกต่างกันเลย ซึ่งมีจุดที่ทำให้น่าสนใจกว่านั้นคือ พลังจะถูกแบ่งออกเป็นโซนขนาดใหญ่ หากเข้าไปอยู่ฝั่งสีตัวเองพลังจะยิ่งแข็งแกร่งขึ้น แต่หากเข้าไปอยู่ในโซนของฝั่งตรงข้ามพลังก็จะอ่อนแอลง


ซึ่งตรงนี้ถูกหนังออนไลน์อธิบายคล้ายๆ กับเกมที่ต้องคอยแย่งชิงดินแดนกัน (ซึ่งแน่นอนอยู่แล้วเพราะอนิเมชั่นเรื่องนี้ถูกสร้างมาจากเกม AR นั่นเอง) ทำให้การต่อสู้ต้องใช้จังหวะชิงไหวชิงพริบกันเป็นอย่างมาก

รีวิว Ingress: The Animation

ด้านคุณภาพงาน


งานโปรดักชั่นก็ไม่ได้ชูโรงมากนัก ลายเส้นสวยแบบสองมิติที่ใช้งานสามมิติเข้ามาช่วย แต่การแอนิเมทเคลื่อนไหวนั้นแข็งมาก เข้าใจว่าเป็นสไตล์ แต่มันยิ่งทำให้การเล่าเรื่องที่อืดอยู่แล้วยิ่งชวนหลับไปใหญ่ บางตอนก็คุยกันแทบทั้งตอนในแบบที่ก็ไม่ได้ข้อมูลอะไรที่มันว้าวขึ้นมาเลย


โดยรวม


ซีรีส์อืดอาดยืดยาดมาก ขนาดว่าพอรู้เรื่องกฏพื้นฐานของเกมมาบ้างแล้วนะ แต่กว่าเรื่องจะเริ่มอธิบายอะไร ๆ ให้ตามง่ายขึ้นก็ปาเข้าไปตอนที่ 3 นั่นแล้ว แถมการพัฒนาความสัมพันธ์ตัวละครต่าง ๆ ก็ตามสูตรมาก จนกดข้าม ๆ ดูก็ยังน่าจะรู้เรื่องเลยล่ะ


ข้อดีคงมีเรื่องของการหักมุมและความเข้มข้นที่กว่าจะสนุกน่าสนใจได้ก็นุ่นล่ะครับ 2-3 ตอนสุดท้ายกันเลย เรียกว่า 8-9 ตอนก่อนหน้าคือความทรมานล้วน ๆ เลย เหมือนดูแอนิเมชั่นที่มีโครงเรื่องการเล่าแบบ

ยุคโบราณ


ยังดีที่ยังมีเซอร์ไพรส์แบบให้เราคาดไม่ถึงออกมาให้รู้สึกแปลกใจอยู่บ้าง แล้วช่วงหลังๆ ตัวพล็อตเรื่องมันก็ค่อนข้างที่จะเกร่อเอามากๆ กับการใช้ตรรกะเหตุผลของตัวละครที่เหมือนจะดี แต่ก็ขัดแย้งกับความเป็นจริง ยิ่งฉากแอคชั่นช่วงไคลแมกซ์ที่มันดูอลังการเวอร์วัง


ซึ่งแทนที่จะรู้สึกตื่นเต้นหรือว้าวไปกับมัน แต่มันกลับดูแล้วรู้สึกตลกซะมากกว่า ยังดีที่ตัวเอกมันดูซื่อๆ แต่ก็ไม่ได้บื้อจนเกินเหตุ ไม่งั้นคงดูแล้วได้รู้สึกรำคาญมากกว่านี้แน่นอนครับ


สรุป


ถึงพล็อตเรื่องมันจะไม่ได้แปลกใหม่ แต่ก็ยังมีความน่าสนใจให้เราได้ติดตามอยู่บ้าง ถึงแม้การสืบสวนสอบสวนมันจะดูไปได้เรื่อยๆ แต่ฉากแอคชั่นไล่ล่ามันดูสนุกจริง ในตอนจบมันเหมือนจะจบเคลียร์ทุกประเด็นไปแล้ว แต่กลับมีปริศนาโพล่มาในตอนท้ายให้เราได้รอดูติดตามในซีซั่นต่อไปอีกครับ

ดู 41 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comments


bottom of page