top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนCharcoal Original

Fear Street Part One: 1994


ดูหนังออนไลน์

รีวิว Fear Street Part One: 1994 - ถนนอาถรรพ์ ภาค 1

โปรเจกต์หนังไตรภาคแนวระทึกขวัญ สยองขวัญ จาก Netflix ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ R.L.Stine โดยจะเป็นการปล่อยภาพยนตร์ออกมาด้วยกัน 3 เรื่อง 3 เหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาปีที่แตกต่างกัน แต่มีจุดเหตุการณ์บางอย่างที่เชื่อมต่อกัน... รีวิว Fear Street Part One: 1994


เรื่องย่อ


หลังเกิดเหตุฆ่าสยองไม่เว้นแต่ละวัน เด็กสาววัยรุ่นและก๊วนเพื่อนขอลุกขึ้นมาต่อกรกับพลังอาถรรพ์ที่แผ่ปกคลุมเมืองชื่อกระฉ่อนของพวกเธอมาหลายร้อยปี ยินดีต้อนรับสู่เชดี้ไซด์


 

โปรเจกต์หนังไตรภาคแนวระทึกขวัญ สยองขวัญที่สร้างจากนิยายขายดีมาก่อนของ อาร์.แอล.สไตน์ ซึ่ง Netflix ซื้อสิทธิ์มาทำเป็นของตัวเองโดยตรง ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ R.L.Stine โดยจะเป็นการปล่อยภาพยนตร์ออกมาด้วยกัน 3 เรื่อง 3 เหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาปีที่แตกต่างกัน แต่มีจุดเหตุการณ์บางอย่างที่เชื่อมต่อกัน


เนื้อเรื่อง


เล่าถึงเหตุการณ์ ในปี ค.ศ. 1994 เมืองเชดี้ไลด์ เมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งในสหรัฐอเมริกา ที่มีเหตุก่ออาชญากรรมสูง เกิดเหตุโศกนาฏกรรมบ่อยเกือบทุกวัน ซึ่งตรงข้ามกับเมืองข้างๆ อย่างซันนี่เวล เมืองที่เต็มไปด้วยความมั่งคั่งและความสงบสุข ดีน่า หญิงสาวจากโรงเรียนไฮสคูล ได้พบกับ แซม หญิงสาวจากไฮสคูลเมืองซันนี่เวลและยังเป็นอดีตแฟนสาวของดีน่า


ขณะที่แฟนใหม่ของแซมได้ตามไปป่วนพวกนักเรียนจากเมืองเชดี้ไลด์ ก็ทำให้เกิดอุบัติเหตุรถยนตร์พลัดตกถนน ซึ่งในรถคันนั้นก็มีแซมนั่งไปด้วย หลังจากเหตุการณ์อุบัติเหตุนั้น แซมเริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นเริ่มเห็นภาพแม่มดบางอย่าง


ในขณะเดียวกัน คืนนั้นก็เริ่มมีคนที่สวมหน้ากากผี มาเฝ้าอยู่หน้าประตูบ้านของดีน่า และเริ่มไล่ฆ่าคน แต่ฆาตกรที่ไล่ฆ่านั้นไม่ได้มีเพียงแค่คนที่สวมหน้ากาผีเพียงเท่านั้น ยังมีฆาตกรหญิงสาวที่ถือมีดโกนหนวด ตามไล่ฆ่าพร้อมกับร้องเพลงบทกลอนไปด้วย และฆาตกรที่ถือขวานวิ่งตามไล่ฆ่า


ซึ่งฆาตกรเหล่านี้ จอช ที่เป็นน้องชายของดีน่า ก็ได้สันนิษฐานว่า ฆาตกรที่ไล่ฆ่าพวกเขาอาจจะเป็นลูกสมุนของแม่มดอย่าง ซาร่าห์ เฟียร์ ที่ต้องการตัวและเลือดของแซม ดีน่า เคท จอช และไซม่อน จึงรีบพาแซมหนีฆาตกรที่ตามไล่ฆ่า


การดำเนินเรื่อง


เนื้อเรื่องมีเพียงเท่านี้สั้นๆ เพราะนี่คืองานดูหนังออนไลน์ ที่ยำหนังสยองขวัญเรื่องดังในอดีตมาไว้ด้วยกัน ที่กำกับโดย Leigh Janiak ผู้กำกับซีรีส์ Scream The Series โดยแต่ล่ะภาคจะเป็นการคาราวะผลงานสยองขวัญขึ้นหิ้งอย่าง Friday The 13th, Scream, Halloween Nightmare on Elm Street หลายๆ เรื่องมายำรวมกันทั้งฉากฆาตกรรม คอสตูมตัวร้ายของแต่ละเรื่อง แต่ไม่ใช่การเอามาตรงๆ ก็มีดัดแปลงไปบ้างเล็กน้อย ซึ่งผู้ชมที่เคยดูหนังเหล่านี้มาก่อนก็คงนึกออกว่าตรงกับเรื่องไหน


ตัวเรื่องภาคแรกใช้ปี ค.ศ.1994 เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นตัวละครหลักชุดแรกที่จะมีคนรอดตายไปยังเรื่องต่อไป ซึ่งถ้าดูชื่อภาคอาจจะงงเพราะตัวเลขปีย้อนกลับไปเรื่อยๆ ห่างกันถึงหลายร้อยปีในภาคสุดท้าย ที่ทำต่อกันแบบนี้ได้เพราะภาคแรกเป็นตัวเปิดแฟ้มฆาตกรรมเรียกน้ำย่อย


ของเหล่าฆาตกรปีศาจจากคดีสยองขวัญในอดีตที่มีมาก่อนแล้วหลายสิบคดีมารวมกัน โดยมีปี 1666 เป็นจุดเริ่มของตำนานความสยองในเมืองที่มาจากแม่มดที่ถูกชาวเมืองฆ่าตาย แล้วทิ้งคำสาปไว้ก่อนตาย ทำให้เป็นตำนานเล่าต่อๆ กันมาว่าคดีฆาตกรรมโหดในเมืองเกิดขึ้นเพราะคำสาปแม่มดตนนี้


ในฉากเปิดเรื่องภาคแรกประเดิมคอนเซ็ปต์ยำหนังรุ่นพี่ด้วยการนำฉากในสครีมคลาสสิกมาดัดแปลงให้คล้ายๆ กัน เริ่มจากมีโทรศัพท์ลึกลับเข้ามาหาหญิงสาว ก่อนที่จะมีฆาตกรใส่หน้ากากผีออกมาไล่เชือดจนตายไปหลายศพในห้าง


แต่สครีมคือหนังสยองขวัญฆาตกรรมที่ต้องคาดเดาว่าคนร้ายเป็นใคร แต่เรื่องนี้ไม่ใช่ เพราะจบตอนเปิดเรื่องเราก็จะได้เห็นเลยว่าคนร้ายคือใคร ซึ่งก็เดาไม่ยากถ้าคนเคยดูสครีมมาก่อนคงนึกได้ตั้งแต่แรกแล้วด้วย และในตอนแรกปิดฉากคนร้ายถูกยิงตาย


แต่เรื่องกลับไปต่อด้วยแนวเหนือธรรมชาติว่าตัวคนร้ายนี้ฟื้นคืนชีพกลับมาได้ ซึ่งจุดนี้แหละคือจุดเริ่มการยำตัวร้ายสยองขวัญในเรื่องอื่นๆ ตามมา ถ้าเป็นคอหนังแนวนี้ก็คงดูแบบเพลินๆ ได้ เพราะตัวเรื่องก็พยายามเอาฉากไล่ล่า ฉากฆ่า มุมกล้องเอกลักษณ์ต่างๆ ของแต่ละเรื่องมารวมไว้ในเรื่องเดียวกันเป็นยำรวมมิตร


แต่ปัญหาคือเป็นการพยายามยำโดยไม่มีอะไรแปลกใหม่เพิ่มขึ้นมาเลย จนเรียกว่าต้นฉบับของแต่ละเรื่องที่หยิบมามีดีกว่าทั้งหมด ยิ่งในภาคนี้พยายามใช้ตัวฆาตกรหน้ากากผีจากสครีมมาเป็นตัวหลักไล่ฆ่ามากกว่าตัวอื่น (โดยมีตัวแบบเจสันตามมา) แต่เมื่อเรื่องเปิดตัวว่ามีคำสาปแม่มดนำหน้า ทุกตัวร้ายที่โผล่มาเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ


การเอาสครีมมาใช้ก็เลยได้แค่การก็อปปี้มาเท่านั้น เพราะคนดูเองก็ไม่ต้องลุ้นอะไรแล้วว่าหมอนี่เป็นใคร จะโผล่มาจากตรงไหนก็ได้เพราะเป็นผี ไม่ต้องมีเหตุผลหลักฐานยืนยันตัวตนแบบที่สครีมทุกภาคใช้ คือถ้าเทียบกันตรงๆ เรื่องนี้ไม่สามารถเทียบได้กับสครีมทุกภาคเลยดีกว่า แม้ภาคหลังๆ จะไม่ได้ดีมากตาม


จุดเด่น


ตัวหนังมีความพยายามทำอะไรออกนอกกรอบอยู่บ้าง ซึ่งสูตรสำเร็จโครงสร้างหลักที่เว็บดูหนัง เป็นปัญหาของหนังแนวไล่เชือดนี้โดยปกติก็คือ ต้องมีตัวละครโง่ ทำอะไรโง่ๆ ซึ่งเรื่องนี้ก็มีความพยายามให้กลุ่มตัวเอกไม่ได้เป็นอย่างนั้น และมีการแหวกธรรมเนียมหนังแนวนี้ที่ต้องมีพระเอกนางเอก แล้วนางเอกรอดเสมอคนสุดท้าย


แต่เรื่องนี้กลับมี “นางเอกสองคน” และเป็นคู่ขาเลสเบี้ยนเป็นตัวละครหลัก Kiana Madeira เล่นเป็นดีน่า Olivia Scott Welch เล่นเป็นแซม (คนนี้พึ่งเล่นเป็นนางเอกในซีรีส์ panic ของ amazon prime มีเสน่ห์สวยน่ารักแบบบ้านๆ เหมาะกับบทแนวนี้มาก)


โดยแอบใส่ปมปัญหาเลสเบียนสังคมครอบครัวไม่ยอมรับลงไปหน่อยเหมือนเป็นสูตรสำเร็จของเน็ตฟลิกซ์ มีฉาก SEX นิดๆ แต่จุดอื่นๆ ก็ยังคงไว้แบบเดิม กับมีตัวละครที่เก่งรอบรู้เรื่องเรื่องราวของคดีในอดีต เป็นคนหาทางแก้ปัญหาให้คนในกลุ่มรอดตาย


ซึ่งตัวเรื่องก็มีความพยายามจะหลุดกรอบโง่ๆ ที่ว่ามาได้ดีพอสมควร แม้จะมีฉากที่เรารู้เลยว่าแยกตัวไปคนเดียวแบบนี้ต้องเจอแน่ แต่ก็ยังแยกไป แต่หนังก็ไม่ได้ทำให้ตัวละครที่แยกตัวออกไปต้องพบจุดจบ แค่ไปเจอแล้วฮึดสู้ได้ โดยทั้งกลุ่มที่มีกัน 5 คนก็ยังอยู่ครบจนท้ายๆ เรื่อง


แต่แล้ว...


แต่พอไม่มีตัวละครหลักตายเลย (ก่อนนั้นมีแต่ตัวประกอบตาย) ผู้สร้างคงคิดว่าเดี๋ยวจะผิดสูตรมากไป บทตอนท้ายก็เลยพากันตายง่ายๆ โง่ๆ แบบเก่งมาทั้งเรื่องกลับมาตายเพื่อให้มีฉากฆ่าแบบคลาสสิกดั้งเดิมเกิดขึ้นมาเท่านั้น อย่างถูกขวานจามหัวโดยไม่รู้ตัว โดนจับยัดใส่เครื่องหั่นเนื้อ ซึ่งก็เป็นความพยายามขายฉากแหวะส่งท้ายก่อนจบ แต่ก็ยังทำไม่ถึงใจเท่าต้นฉบับรุ่นพี่เก่าๆ อยู่ดี


จุดด้อย


และก็ตามสูตรอีกนั่นแหละที่หนังแนวนี้ต้องมีฉากปิดท้ายเผื่อทำภาคต่อ แต่เรื่องนี้คือก่อนดูเราก็รู้อยู่แล้วว่ามีต่อ ฉากปิดท้ายตามสูตรก็เลยกลายเป็นฉากหักมุมนิดๆ ส่งต่อขึ้นเรื่องใหม่ไปยังภาคต่อไป โดยก็ยังคงตัวละครชุดแรกที่รอดได้ไปต่อภาคสอง พร้อมกับตัวละครใหม่มาทดแทนคนที่ตายไป


และภาคต่อไปจะย้อนกลับไปปี 1978 เป็นคดีฆาตกรถือขวานไล่ฆ่าคนในแคมป์เด็กวัยรุ่น ก็คือเรื่องราวแนวเจสัน ศุกร์ 13 นั่นแหละครับ แต่ปัญหาก็คือเรื่องในภาคแรกนี้ได้เฉลยไว้หมดแล้วว่าใครรอดตายจากข่าวในอดีต ก็ต้องมาดูกันต่อไปว่าจะมีอะไรพลิกแพลงได้มากกว่านี้ครับ

รีวิว Fear Street Part One: 1994

เรื่องงานภาพ


ในส่วนของเรื่องงานภาพ โดยส่วนตัวของผู้เขียนนั้นก็ไม่ได้ว้าวอะไรมากนัก CG ในเรื่องก็สมจริงมีลอยๆ บ้างในบางฉาก พาเราย้อนกลับไปในยุค 90 ได้ดี หนังระทึกขวัญอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือ ซาวน์ประกอบภายในเรื่อง หากใส่ประกอบไปได้ถูกจังหวะก็จะเพิ่มความลุ้นระทึกไปได้มาก


ซึ่งภายในเรื่องนี้เองก็ใส่ซาวด์เอฟเฟคได้ดี ก็เป็นอีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เรื่องลุ้นระทึก ตกใจ และลุ้นไปตามเนื้อเรื่อง จุดพีคในเรื่องสำหรับผู้เขียนเองรู้สึกว่า พีคมาก รู้สึกว่าจะมีจุดที่พีคอยู่ด้วยกัน 2 จุดด้วยกัน ขอแอบกระซิบเลยว่า อึ้งไปกับการเฉลยไปค่อนข้างเยอะอยู่เช่นกัน


โดยรวม


เป็นอีกหนึ่งภาพยนตร์ไตรภาคระทึกขวัญที่น่าติดตามภาคต่อไปเป็นอย่างมาก ผูกปมและทิ้งท้ายปมใหญ่ไว้ภาคต่อไปได้น่าติดตามต่อ เนื้อเรื่องในตอนช่วงแรกๆ ของเรื่องดูอาจจะงงๆ ดูไม่น่าใช่ปมใหญ่อะไรมากหนัก แต่พอมาตอนท้ายๆ เรื่องก็ทิ้งปมใหญ่ไว้ให้คนที่รับชมอยากจะดูภาคต่อไป


การดำเนินเนื้อเรื่องในช่วงแรกรู้สึกว่าจะเอื่อยๆ ไปนิดนึง มีบางฉากที่ก็เอ๊ะ ตะหงิดใจอยู่บ้าง จะใส่มาทำไมบ้าง ฉากไล่ฆ่าภายในเรื่องก็ชวนให้ตื่นเต้นไปกับตัวละคร ลุ้นไปเหมือนกันว่าตัวละครจะตายไหม จะฆ่าตัวละครไหนทิ้งหรือไม่


แต่พอเริ่มมาตอนท้ายเรื่อง ก็รู้สึกว่าการดำเนินเนื้อเรื่องดำเนินไปเร็วมาก รวบรัด จนทิ้งความตื่นเต้น ลุ้นระทึกไป แต่กลับมาแทนที่ด้วยความงง งงเพราะในความรู้สึกของผู้เขียนเอง ลุ้นให้ตัวละครหนึ่งรอดจากการตามฆ่าได้


พอรอดมาได้แล้ว ก็เกิดเหตุอีกจนเป็นเรื่องวุ่นวายต่อไป แต่ก็ดูเป็นไปตามฉบับหนังระทึกขวัญ ความรู้สึกที่ตามมาคือ ความลุ้น ความสงสัย และความน่าติดตามต่อไปว่า เรื่องราวในปี 1978 นั้นเป็นอย่างไร เพราะก็มีการเกริ่นไปในเรื่องแล้วว่า มีคนรอดชีวิตมาก็จริง แต่แม่มดจะไม่หยุดตามฆ่าแน่นอน ก็น่าติดตามต่อไปว่า แซม และดีน่า จะรอดได้กลับมาเป็นปกติไหม


สรุป


เป็นจุดเริ่มของหนังไตรภาคที่ใช้คอนเซ็ปต์ยำหนังสยองขวัญชื่อดังในอดีตไว้ด้วยกัน มีความพยายามแหวกกรอบสูตรเดิมนิดๆ แต่ก็ไม่สามารถทำได้ดีกว่าต้นฉบับที่ดึงมาสักเรื่อง เลยเป็นเพียงแค่หนังแนวนี้ทั่วไปเรื่องหนึ่ง แต่ก็ตอบโจทย์คอหนังแนวนี้ที่มักไม่คิดอะไรมากได้อยู่


ส่วนปมของแม่มดที่ทิ้งไว้ในภาคต่อไปอันนี้ก็ดูเป็นปมใหญ่ของเรื่องที่น่าติดตามต่อไปมาก ฆาตกรที่เรื่องดีไซน์มากภายในเรื่องก็ได้เห็นความโหดยังไม่มากนักเท่าไหร่นัก วิธีการฆ่าจะเริ่มโหดๆ ก็เป็นตอนท้ายเรื่องเลย ที่วิธีที่ฆ่ารู้สึกว่าโหดมากๆ ดูแล้วภาพยังคงติดตาอยู่


เรื่องราวความสนุกในภาคต่อไปจะสนุกเท่าภาคแรกไหมก็คงติดตามกันต่อไป ในส่วนของผู้เขียนเองคาดว่าเนื้อเรื่องในภาคสองที่เล่าย้อนไปในปี 1978 น่าจะสนุกกว่าภาคแรกแน่นอน

ดู 3 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Comentários


bottom of page