top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนCharcoal Original

Fear Street Part 2: 1978


ดูหนังออนไลน์

รีวิว Fear Street Part 2: 1978 - ถนนอาถรรพ์ ภาค 2: 1978

โปรเจกต์หนังไตรภาคแนวระทึกขวัญ สยองขวัญ จาก Netflix ภาพยนตร์ที่ดัดแปลงมาจากนิยายของ R.L.Stine โดยจะเป็นการปล่อยภาพยนตร์ออกมาด้วยกัน 3 เรื่อง 3 เหตุการณ์ในแต่ละช่วงเวลาปีที่แตกต่างกัน แต่มีจุดเหตุการณ์บางอย่างที่เชื่อมต่อกัน...โดยในภาคนี้ จะเป็นภาคต่อที่เริ่มจากตอนจบภาคก่อน รีวิว Fear Street Part 2: 1978


เรื่องย่อ


ภาคต่อที่เริ่มจากตอนจบภาคก่อน ณ เชดี้ไซด์ เมืองต้องสาป มหกรรมเชือดสะเทือนขวัญได้เปลี่ยนค่ายไนต์วิงในฤดูร้อนสุดหฤหรรษ์ให้กลายเป็นเหตุการณ์หนีตายสุดนองเลือด!


 

ภาพยนตร์ไตรภาคชุดนี้สร้างจากนิยายสยองขวัญขายดีของ อาร์. แอล. สไตน์ (R.L.Stine) นักเขียนชาวอเมริกันผู้ได้รับสมญาว่า ‘สตีเฟน คิง แห่งวรรณกรรมเยาวชน’ โดยผลงานอันโดดเด่นของเขาที่ออกมาตั้งแต่ยุค 90 ได้แก่ หนังสือชุด Goosebumps


ซึ่งเป็นหนังสือแนวสยองขวัญสำหรับเด็กเล็กวัย 7-15 ปี ที่มีเรื่องราวเกี่ยวกับภูตผี ปีศาจ สัตว์ร้าย และนิยายสยองขวัญสำหรับเด็กโตขึ้นมาหน่อยที่เรียกว่า young adult เรื่อง Fear Street ซึ่งว่าด้วยเรื่องของการตายแบบลึกลับที่เกิดขึ้นบนถนนสายหนึ่งในเมืองเชดี้ไซด์


เรื่องย่อในภาคแรก 1994


ในภาคแรกคือเรื่องราวในปี 1994 เมื่อวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งพบว่าเหตุการณ์ฆาตกรรมสยองขวัญมากมายที่ตามหลอกหลอนคนทั้งเมืองเชดี้ไซด์มาหลายชั่วอายุคนทุกคดีอาจมีส่วนเกี่ยวพันกัน และพวกเขาเองอาจเป็นเป้าหมายรายต่อไป


ตัวเรื่องภาคแรกใช้ปี ค.ศ.1994 เป็นจุดเริ่มต้นและเป็นตัวละครหลักชุดแรกที่จะมีคนรอดตายไปยังเรื่องต่อไป ซึ่งถ้าดูชื่อภาคดูหนังออนไลน์อาจจะงงเพราะตัวเลขปีย้อนกลับไปเรื่อยๆ ห่างกันถึงหลายร้อยปีในภาคสุดท้าย


ที่ทำต่อกันแบบนี้ได้เพราะภาคแรกเป็นตัวเปิดแฟ้มฆาตกรรมเรียกน้ำย่อยของเหล่าฆาตกรปีศาจจากคดีสยองขวัญในอดีตที่มีมาก่อนแล้วหลายสิบคดีมารวมกัน


โดยมีปี 1666 เป็นจุดเริ่มของตำนานความสยองในเมืองที่มาจากแม่มดที่ถูกชาวเมืองฆ่าตาย แล้วทิ้งคำสาปไว้ก่อนตาย ทำให้เป็นตำนานเล่าต่อๆ กันมาว่าคดีฆาตกรรมโหดในเมืองเกิดขึ้นเพราะคำสาปแม่มดตนนี้


ในภาคนี้ 1978


ภาคต่อที่เริ่มจากตอนจบภาคก่อน เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใน Fear Street Part 2: 1978 คนดูจะได้ย้อนเวลากลับไปในปี 1978 ณ แคมป์กิจกรรมภาคฤดูร้อน ที่เหล่าเยาวชนจากเมืองเชดี้ไซส์และซันนี่เวลล์จะได้มาพักผ่อน ทำกิจกรรมและมีความสุขตลอดช่วงเวลาฤดูร้อน


แต่แล้วเริ่มมีเหตุการณ์ประหลาดก่อตัวขึ้นเมื่อเจ้าหน้าที่ประจำศูนย์เกิดคุ้มคลั่งและทำร้ายทอมมี่ (แมคคาเบ้ สไลด์) แฟนหนุ่มของซินดี้ เบอร์แมน (เอมิลี่ รัดด์) ด้วยเหตุผลที่ว่า เขากำลังจะต้องคำสาปร้ายและอย่างไรก็ตามเขาจะต้องถึงฆาตภายในคืนนี้


วินาทีแรกทุกคนเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวมีอาการประสาทหลอน โดยไม่รู้เลยว่าทุกอย่างที่กำลังจะเกิดตามมาคือความน่ากลัวเกินคาดคิด สำหรับซิกกี้ (เซดี้ ซิงค์) น้องสาวของซินดี้ ที่โดนกล่าวหาว่าเธอเป็น “แม่มด” เนื่องจากเธอเป็นผู้หญิงหัวขบถและหน้าตาวอนหาเรื่อง ทำให้เธอตกเป็นจำเลยสังคมอยู่บ่อยครั้งและโดนบรรดาวัยรุ่นตัวแสบในค่ายแห่งนี้กลั่นแกล้งจนถึงขั้นทำร้ายร่างกาย


การดำเนินเรื่องในภาคนี้


ต้องบอกว่าเนื้อเรื่องจากภาคแรกที่เป็นการยำหนังสยองขวัญซีรี่ย์ Netflixชื่อดังในอดีตอาจจะดูสดใหม่บ้าง เพราะมีตัวละครโรคจิตหลายๆ ตัวมารวมกัน แต่พอมาภาคสองกลับมาเล่าเรื่องเดี่ยวของตัวละครที่เหมือนเจสัน มันเลยกลายเป็นงานก็อปเจสันที่น่าเบื่อมาก


เพราะตั้งแต่สตาร์ทเรื่องให้ตัวละครจากภาคแรกมาหาทางแก้คำสาป คนดูก็คงหวังว่าจะมีอะไรคืบหน้าบ้าง หรือมีการตัดสลับเล่าเรื่องในอดีตกับปัจจุบันให้เรื่องเดินหน้าไปบ้าง แต่เปล่าเลย ตัวละครจากภาคแรกโผล่มาไม่ถึง 3 นาทีในตอนต้น


ตัวเรื่องก็เล่าย้อนอดีตกลับไปยาวๆๆ แถมเป็นความยาวที่ค่อนข้างน่าเบื่อด้วย ในเมื่อเรารู้อยู่แล้วว่าว่ามีคนรอดตายคือใคร แต่เรื่องก็ยังพยายามเล่าให้เป็นจุดกำเนิดของตัวนักฆ่าแบบเจสัน ซึ่งก็ไม่มีอะไรใหม่เพราะเรารู้แล้วว่ามาจากคำสาปแม่มดแบบที่ภาคแรกก็เฉลยไว้หมดแล้วนั่นแหละ


แถมชั่วโมงแรกของเรื่องยังมีแต่เรื่องในแคมป์แบบเด็กเกเร เล่นยา มี SEX อะไรไปวันๆ มีความพยายามจะปูดราม่าความสัมพันธ์ของตัวละครในภาคนี้ใหม่ แต่คือเราก็รู้อยู่แล้วว่ามีคนรอดตายเพียงคนเดียว ซึ่งหนังไม่ฉลาดเลยถ้าจะเล่าย้อนแบบนี้แล้วยังจะเสียเวลาไปเกือบชั่วโมง


กับการปูความสัมพันธ์ดราม่าระหว่างเพื่อน พี่น้อง คนรัก ทั้งๆ ที่รู้ว่าต้องตายหมดในตอนจบ เป็นการปูที่เสียเวลาแถมไม่ช่วยทำให้คนอินอะไรทั้งสิ้น เรียกว่าถ้าใครอยากดูไวๆ ก็ข้ามไปหลังนาทีที่ 40 ไปได้เลย เพราะเรื่องของตัวเจสันพึ่งมาเริ่มตรงนั้น


ฉากความโหด...


หลังจากตัวฆาตกรออกมาไล่ฆ่า คนดูอาจจะหวังขอแค่ฉากโหดๆ ของหนังแนวนี้ แต่เรื่องนี้กลับมีฉากฆ่าให้เห็นแค่เฉพาะตัวละครผู้ใหญ่ที่ดูโหด ส่วนของเด็กไม่ปิดไฟมืดก็ตัดฉากไปไม่ให้เห็นอะไรเลย แล้วฉากไล่ฆ่าของภาคนี้ก็ไม่มีกึ๋นการไล่ล่าอะไรเลย


ผู้สร้างอาจจะอยากเคารพต้นฉบับเจสันที่เป็นหนังแนวไล่ฆ่าไร้เหตุผลมันก็ใช่ แต่กับเรื่องนี้เป็นความพยายามก็อปมาเฉยๆ ไม่มีครีเอทอะไรใหม่เลย แถมยังใส่เหตุการณ์ยัดเยียดเลียนแบบด้วยการใส่ถุงกระสอบคลุมหัวแทนหน้ากากฮ็อกกี้แบบงี่เง่ามากๆ ด้วย (งี่เง่าขนาดไหนต้องลองดูกันเอาเอง)


ซึ่งบอกเลยว่าทั้งเรื่องแทบไม่มีอะไรเลยจริง แถมที่บอกว่าแคมป์เด็กมีคนรอดตายเพียงคนเดียวก็ไม่จริง ตกลงในเรื่องก็ฆ่าไปไม่กี่คน ที่เหลือหนีขึ้นรถบัสไปได้หมด กลายเป็นเหมือนเรื่องเล่าหลอกคนดูให้คิดว่ามีฉากฆ่าเด็กยกแคมป์อะไรแบบนั้น


และสำหรับคนที่คิดว่าภาคนี้อาจจะได้เห็นการยำตัวร้ายนักฆ่าแบบภาคแรก ก็ต้องบอกว่ามีเหมือนไม่มี เพราะตัวร้ายพวกนั้นโผล่มานิดเดียวตอนใกล้จบแล้วก็ไม่มีอะไรสำคัญเลยด้วยซ้ำ


สไตล์ของภาค 1978


ด้วยสไตล์ของภาค 1978 ที่ได้อิทธิพลจากหนัง Slasher จากแฟรนชายส์ ศุกร์ 13 (Friday the 13th) มาแบบเต็มๆ ด้วยการนำเสนอโครงสร้างหนังสยองขวัญแนวไล่เชือดในพื้นที่ปิดตายที่มีฉากหลังเป็นค่ายฤดูร้อนที่เต็มไปด้วยวัยรุ่นและเหล่าเยาวชน


แต่แทนที่หนังจะมุ่งเน้นนำเสนอแต่ฉากฆาตกรโรคจิตภายใต้หน้ากากชวนสะพรึงไล่เอาขวานจามเหยื่อจนหัวแบะ 1978 เลือกจะสร้างความผูกพันระหว่างตัวละครและผู้ชม พร้อมกับปูทางให้คนดูเข้าใจกับเรื่องราวลึกลับอันตำนานความเป็นมาของค่ายแห่งนี้ให้มากขึ้น


ก่อนจะเริ่มสถานการณ์นองเลือดแบบนอนสต็อปตั้งแต่ช่วงกลางเรื่องชนิดไม่ปล่อยให้คนดูพักหายใจหายคอ ไปจนถึงช่วงท้ายของหนัง


นอกจากนี้การที่คนดูรู้อยู่แล้วว่า ตัวละครพี่สาวอย่างซินดี้ เธอจะต้องตายในตอนจบของหนังภาคนี้ หนังก็ฉลาดพอที่จะทำให้คนดูเกิดความเห็นอกเห็นใจตัวละครสองสาวพี่น้อง ที่ต้องฝ่าฟันเอาตัวรอดกันมาตลอดทั้งเรื่อง


แม้ว่าจะเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด แต่ท้ายที่สุดแล้วความรักระหว่างทั้งสอง ได้ทำให้เรารู้สึกเจ็บปวดแค่ไหน ที่สุดท้ายแล้วในเกมแห่งคำสาป ซิกกี้กลายเป็นผู้แพ้ที่ต้องยอมรับชะตากรรมที่เธอไม่ได้เป็นคนเลือกมาตั้งแต่ต้น

รีวิว Fear Street Part 2: 1978

ในช่วงท้าย


ตัวหนังมีเนื้อเรื่องคืบหน้านิดนึงด้วยการเล่าที่มาของมือแม่มดที่ถูกตัดไป และวิธีการแก้คำสาปอีกนิดหน่อยในช่วงย้อนอดีต ก่อนจะจบเรื่องเล่าและกลับมาปัจจุบันในตอนจบของหนัง ซึ่งก็มีต่ออีกนิดเดียวจริงๆ ว่าเป็นช่วงที่ตัวละครปัจจุบันกำลังจะแก้คำสาป แต่ก็ถูกดึงย้อนไปยังปี 1666


ซึ่งเป็นตอนจบของไตรภาคนี้ โดยตัวเรื่องไม่ได้ใช้ตัวละครใหม่อีกแล้ว แต่ใช้ตัวละครทั้งสองภาคมาแต่งหน้าแต่งตัวย้อนยุคเล่นในภาค 3 เหมือนเป็นแนวระลึกอดีตชาติภพของคนในเมืองนี้ ซึ่งก็ต้องดูว่าใช่หรือไม่ หรือแค่การประหยัดงบใช้นักแสดงเดิมมาเล่นเท่านั้น


โดยรวม


แม้เราจะรู้ตอนจบของภาคนี้อยู่แล้ว เพราะถูกเล่าตั้งแต่ในภาคแรก แต่ตัวหนังก็ทำให้เราติดตามได้ตลอดทั้งเรื่อง ด้วยการกระจายบท สร้างปริศนา และกระจายการตายได้อย่างเหมาะสมทั้งเรื่อง ไม่กองที่จุดเดียวแบบพาร์ทแรก


พาร์ทนี้เรียกว่าทำได้ดีกว่ามากๆ ฉากหนังเซ็ตอยู่บนฉากฆาตกรรมแบบคลาสสิกของหนังแนวหนังเชือดสยองเลย เรื่องเกิดต้นยุค 80 ในค่ายฤดูร้อน เต็มไปด้วยวัยรุ่น มีฉากโป๊นิดๆ หน่อยๆ เคล้ายด้วยเสียงเพลงในยุคนั้น มันเลยพอเหมาะพอเจาะมากๆ


สรุป


ภาคสองกลับมาเล่าเรื่องเดี่ยวของตัวละครที่เหมือนเจสันยาวๆ ทั้งเรื่อง มันเลยกลายเป็นงานก็อปเจสันแบบทื่อๆ ทั้งการเดินเรื่อง การฆ่า แต่ก็ไม่ได้โหดอะไรจริงเพราะมีตัดฉากข้ามฉากไปเยอะ ปูเรื่องตอนแรกก็นานมากกว่าจะถึงตรงนี้


แถมเนื้อเรื่องในปัจจุบันแทบไม่ได้ขยับไปไหนจากภาคแรกเลย เนื้อเรื่องจริงมีแค่กระจึ๋งเดียว ตัวละครภาคแรกโผล่มาแค่ตอนต้นกับตอนจบแล้วก็ทิ้งเรื่องไว้ไปต่อภาคสามแค่นั้น

ดู 159 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Search WWW

The Crowned Clown

You Are My Spring

Comments


bottom of page