top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนCharcoal Original

Divergent


ดูหนังออนไลน์

รีวิว Divergent - ไดเวอร์เจนท์ คนแยกโลก

เป็นภาพยนตร์อีกเรื่องหนึ่งที่สร้างขึ้นจากวรรณกรรมเยาชน โดย Divergent เป็นบทประพันธ์วรรณกรรมเยาวชนขายดีของ เวโรนิกา รอทห์ (Veronica Roth) และนี่คือภาคปฐมบท รีวิว Divergent


เรื่องย่อ


ในเมืองที่ถูกปิดล้อมด้วยกำแพงสูง ผู้คนถูกแบ่งออกเป็น 5 กลุ่ม ผู้เสียสละ (Abnegation-แอ๊บเนเกชั่น), ผู้กล้าหาญ (Dauntless-ดอนท์เลส), ผู้มีปัญญา (Erudite-เออรูไดต์), ผู้ซื่อสัตย์ (Candor-แคนเดอร์) และผู้รักสงบ (Amity-อมิตี) ซึ่งจะว่าไป แม้ว่าจะมีการจำแนกผู้คนออกไปแล้ว จริงๆ ก็ดูจะเป็นคน 5 กลุ่มพื้นฐานที่มนุษย์เรามีอยู่ในปัจจุบันนี่แหละ เพียงแต่เขาคิดว่า มนุษย์แต่ละกลุ่มควรมีหน้าที่ของตนตามแต่บุคลิกของตัวเอง


เมื่อถึงวัยที่สมควร ซึ่งก็เป็นช่วงหนุ่มสาว พวกเขาต้องเลือกกลุ่มของตัวเอง โดยเริ่มจากการทำแบบทดสอบกันก่อน เหมือนทางการจะได้เก็บบทสรุปเอาไว้ว่าใครได้กลุ่มไหน แต่ก็ยังให้โอกาสเด็กๆ ได้เลือกด้วยตัวเองอีกครั้งว่าจะอยู่กับกลุ่มเดิมที่ตนเติบโตขึ้นมาหรือจะไปอยู่กับกลุ่มใหม่ที่เชื่อว่าเข้ากับบุคลิกของตน ซึ่งกฏใหม่ก็คือเมื่อเลือกแล้วจะเปลี่ยนไม่ได้อีก


 

ครั้งแรกที่ผมอ่านเรื่องย่อ ผมคิดว่านี่คือภาพยนตร์ Action Fantasy Sci-Fi แน่เลย แต่เมื่อดูไปเรื่อย ๆ กลายเป็นAction Romantic และหลายคนบอกผมว่าหนังเรื่องนี้ได้แนวคิดมาจาก The Hunger Games ในช่วงเลือกกลุ่มตอนที่อายุครบ 16 ปี ทำให้นึกถึง Harry Potter นิดหน่อยครับ


และหลายแนวคิดที่ได้มาจากหนังหรือภาพยนตร์หลายเรื่อง ทำให้คนดูหลายคนอาจจะคิดว่าไม่มีไอเดียเป็นของตัวเอง แต่ผมกลับคิดว่านี่คือการเอาไอเดียแนวคิดของหนังที่สำเร็จ มาประยุกต์เดินเรื่องในแบบของตัวเองมากกว่า


เนื้อเรื่อง


เป็นเรื่องราวของสังคมที่ดำเนินโดยบุคคล 5 กลุ่ม คือ กลุ่มผู้กล้า (Dauntless) คนกลุ่มนี้ทำหน้าที่ปกป้องรักษาเมือง, กลุ่มผู้ยึดถือความถูกต้อง (Candor) เป็นกลุ่มของทนายและผู้พิพากษา, กลุ่มผู้มีปัญญา (Erudite) ทำหน้าที่เกี่ยวกับข้อมูลและการบริหารจัดการ, กลุ่มผู้รัักความสงบ (Amity) ทำหน้าที่เพาะปลูกและเลี้ยงสัตว์ และกลุ่มผู้เสียสละ (Abnegation) ทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้อื่น


แต่ในสังคมแห่งนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะมีเพียงบุคคล 5 กลุ่มนี้ที่ทุกคนต่างทำหน้าที่ในกลุ่มของคนเพื่อให้สังคมอยู่ได้ แต่ยังมี ‘คนไร้กลุ่ม’ อยู่ด้วย เปรียบเสมือนผู้ด้อยโอกาสในสังคม และคนที่พวกหนึ่งที่สังคมแห่งนี้ไม่ต้องการ ถ้าหากพบว่าใครเป็นจะต้องถูกกำจัดทิ้งนั่นก็คือ Divergent


ทุกคนจะรู้ว่าตนจะต้องอยู่กลุ่มไหนก็ตอนที่อายุครบ 16 ปี จะมีพิธีการเลือกในสิ่งที่ตนเองต้องการ ในการทดสอบมี 2 ขั้นตอนคือ การใช้เซรุ่มหรือสารเคมีบางอย่างเพื่อทดสอบสภาวะจิตใจ และในขั้นสุดท้ายคือให้เจ้าตัวตัดสินใจเอง ปัญหาเกิดขึ้นตรงนี้แหละ


เมื่อนางเอกของเรื่องคือ บีทรีซ ไพรเออร์ (Beatrice Prior) ซึ่งรับบทโดย เชย์ลีน วู้ดลีย์ (Shailene Woodley) ถูกตรวจพบในขั้นตอนแรกว่าเธอเป็น Divegent คือผู้ที่ไม่จัดอยู่ในกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเลย แม้แต่กลุ่มของพ่อและแม่ของเธอซึ่งอยู่ในกลุ่มผู้เสียสละ แต่เธอจะอยู่กลุ่มไหนก็ได้ ผู้กล้า ผู้เสียสละ หรือมีปัญญา


การที่ Divergent ต้องถูกำจัดทางฝ่ายบริหารให้เหตุผลว่า บุคคลที่เป็น Divergent มีความคิดที่หลากหลาย ควบคุมได้ยาก เป็นภัยต่อสังคมที่สงบสุข โชคดีที่ผู้ทำหน้าที่ทดสอบให้กับเธอช่วยเอาไว้ จึงไม่มีใครจับได้ เมื่อถึงเวลาที่เธอต้องตัดสินใจเอง


เธอเลือกที่จะอยู่กลุ่มผู้กล้า หลังจากที่เลือกแล้วว่าจะอยู่กลุ่มไหน หากกลุ่มที่เลือกไม่ใช่กลุ่มเดียวกับครอบครับ ก็จะต้องแยกและไม่ได้อยู่กับครอบครัวอีก ไม่แน่ใจว่าทำไมต้องตั้งกฏกันขนาดนี้ ดูโหดร้ายจัง โดยมีคำกล่าวที่ทุกคนต้องจำให้ขึ้นใจคือ ‘กลุ่มสำคัญกว่าสายเลือด’


บีทรีซ พยายามที่จะทำทุกอย่างให้เธออยู่รอดในกลุ่มของผู้กล้า โดยเธอเปลี่ยนชื่อเป็น ทรีส (Tris) และพยายามฝึกซ้อมอย่างมุ่งมั่นเพื่อให้ผ่านการทดสอบและได้รับการยอมรับในกลุ่ม ที่นี่เอง ทรีส ได้พบกับพระเอกของเรื่องคือ โฟร์ (Four) รับบทโดย ธีโอ เจมส์ (Theo James)


ซึ่งเป็นครูฝึกของเขานั่นเอง ตั้งแต่ที่พบกันตอนแรกเขาและเธอดูเหมือนจะถูกชะตากัน และโฟร์ก็คอยช่วยเหลือ ทรีส ในเรื่องต่างๆ มาตลอด แต่ในที่สุด ทรีส ก็ถูกจับได้ว่าเป็น Divergent


การดำเนินเรื่อง


ในช่วงชั่วโมงแรกดูหนังออนไลน์ หนังเดินเรื่องด้วยการพาไปรู้จักกับชีวิตและตัวตนของนางเอก การค้นหาตัวเอง รวมไปถึงการฝึกฝนอยากหนักหน่วงล้มลุกคลุกคลานจนกระทั่งสำเร็จ ช่วงนี้ก็ค่อนข้างดราม่านะครับ เพราะหลายครั้งที่ความพยายามของเธอแทบจะไม่มีใครมองเห็น อาจจะมีความอืดและยืดยาด

ความยาวของภาพยนตร์ นานกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง ด้วยความยาวระดับนี้การทำให้หนังไม่น่าเบื่อค่อนข้างยาก แต่เท่าที่ดูผมค่อนข้างรู้สึกกลาง ๆ นะครับ คือไม่น่าเบื่อจนอยากปิดและก็ไม่ได้เดินเรื่องเร็วซะจนรู้สึกว่าเข้มข้นขนาดนั้น


รีวิว Divergent

จุดด้อย


แต่ข้อตินิดหน่อยคือความไม่ค่อยต่อเนื่องของเหตุการณ์ในเรื่อง แม้ว่าพล็อตเรื่องจะน่าสนใจพอสมควรก็ตามแต่ว่าหนังยังบกพร่องในเรื่องของการนำเสนอเรื่องราว ด้วยความที่เว็บดูหนังต้องการแทรกทุกเรื่องราวอย่าง Action Romantic Sc-Fi Fantasy Thirller มันเลยทำให้เนื้อเรื่องค่อนข้าง “ ครบ” แต่มันไม่สุดสักทางครับ


คือฉากAction มันไม่สุด บู๊ยังไม่เต็มที่ ส่วนฉากรักใคร่หวานแหววก็ไม่ให้ความรู้สึกที่อินขนาดที่ว่าจิกหมอน แม้ว่าพระเอกจะหล่อก็ตามที ส่วนฉากไคลแม็กซ์ที่น่าตื่นตาตื่นใจก็ไม่ค่อยจะสุดมากนัก


ด้านเทคนิคต่าง


ตัวเทคนิคต่างๆ ไม่ได้ดูอลังการนัก ออกดูเป็นอนาคตที่ไม่ได้เจริญสูงไปมากกว่าปัจจุบันเท่าไหร่ แต่มีสไตล์ของเมืองที่ไม่ล้ำไปมากนัก รายละเอียดบางอย่าง ไม่ได้ถูกเล่าเอาไว้ อย่างเช่นรถไฟที่ไม่เคยเห็นหยุดวิ่งและวิ่งไปไหนไม่เคยได้รับรู้ที่หมาย


โดยรวม


หนังมีความยาวกว่า 2 ชั่วโมงครึ่ง (140 นาที) ค่อนข้างยาวทีเดียว โดยรวมแล้วดูได้เรื่อยๆ ไม่ถึงกับเสียความรู้สึก ไม่ถึงกับน่าเบื่อ แต่ก็อาจจะไม่ประทับใจเท่าที่ควร การเล่าเรื่องดูไม่ค่อยต่อเนื่อง เหตุและผลของเนื้อเรื่องยังนำเสนอได้ไม่เฉียบคม ในช่วงของฉากสำคัญๆ ยังดึงอารมณ์ได้ไม่สุด ฉากบู๊ก็ไม่เต็มที่นัก ฉากรักก็ไม่ค่อยซาบซึ้งกินใจ ฉากที่จะต้องลุ้นก็ยังไม่ตื้นเต้นสักเท่าไร


หลังจากดูไปได้ครึ่งเรื่อง ในใจก็รู้สึกว่า จริงๆ แล้วในเวอร์ชั่นหนังสือน่าจะมีรายละเอียดมากกว่านี้ แต่ด้วยความเป็นหนังจึงไม่อาจเล่าได้ครบหมด ครึ่งเรื่องแรกแม้จะดูเชื่องช้า ทว่ามีบางอย่างน่าสนใจ จนอยากจะหาหนังสือมาอ่านเพื่อเก็บข้อมูลที่ตกหล่นไป


สรุป


หนังมีพล็อตที่ดีใช้ได้ แต่การดำเนินเรื่องและงาน Insert ยังขาดความน่าสนใจอยู่บ้าง อาจจะด้วยเพราะหนังให้ความสำคัญกับการเล่าเรื่องเกี่ยวกับนางเอกมากไปหน่อย และการลำดับเหตุการณ์ที่ยังไม่ค่อยต่อเนื่อง แต่ในเรื่องอื่นถือว่าโอเค พอชมได้เพลิน ๆ ครับ

ดู 19 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

Search WWW

The Crowned Clown

You Are My Spring

Commentaires


bottom of page