รีวิว Wonder Woman 1984 - วันเดอร์ วูแมน 1984
หลังปล่อยให้แฟนๆ ตั้งตารอคอยกันมานานร่วม 3 ปี แถมยังต้องเลื่อนคิวฉายออกไปอย่างไม่มีกำหนด จากวิกฤติการระบาดของไวรัสโควิด-19 แต่ในที่สุด Wonder Woman ซูเปอร์ฮีโร่สาวหนึ่งเดียว จากค่าย DC Comics ก็กลับมาสานต่อความสำเร็จจากภาคแรก ใน “Wonder Woman 1984” ซึ่งก็ถือเป็นหนังฮีโร่ฟอร์มยักษ์เรื่องเดียว ที่ได้ลงโรงฉายกันในปี 2020 นี้ด้วย รีวิว Wonder Woman 1984
เรื่องย่อ
เป็นเรื่องราวในสหรัฐอเมริกาช่วงยุค 80 ซึ่งก็เป็นเวลา 60 กว่าปีหลังจากเหตุการณ์สงครามโลกครั้งที่ 1 ในภาคแรก ที่ ไดอานา หรือ วันเดอร์วูแมน ได้ยุติสงครามร่วมกับมวลมนุษยชาติ แต่ก็ต้องแลกด้วยชีวิตของ สตีฟ แฟนหนุ่มนักบินที่ตัดสินใจพลีชีพในสงครามดังกล่าว ทิ้งบาดแผลในใจฮีโร่สาว ที่ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ปี เธอก็ยังคงโดดเดี่ยว และโหยหาชายผู้เป็นที่รักคนนี้อยู่เสมอ
นับว่าเป็นผลงานภาคต่อที่สร้างความกดดันให้กับผู้กำกับ แพตตี้ เจนกินส์ หนักหนาพอดู เพราะภาคแรกเมื่อปี 2017 สร้างสถิติไว้มากมาย ทั้งเป็นหนังซูเปอร์ฮีโรหญิงที่ทำรายได้มากสุดเป็นประวัติการณ์ ตัวเลขจบที่ 822 ล้านเหรียญ จุดความหวังครั้งใหม่ให้กับดีซีคอมิกและวอร์เนอร์ ที่เพิ่งชอกช้ำมากับ Suicide Squad หนังรวมวายร้ายจากจักรวาลดีซี ที่ทำรายได้ไม่เข้าเป้า เจอเสียงโขกสับจากบรรดานักวิจารณ์และคนดู
การกลับมาของ Wonder Woman ครั้งนี้ ยังคงได้ “กัล กาโดท” นักแสดงสาวสวยสุดแกร่งชาวอิสราเอล กลับมารับบท “ไดอานา พรินซ์” รวมทั้งพระเอกหนุ่ม “คริส ไพน์” ในบท “สตีฟ เทรเวอร์” ที่แม้จะสละชีพแบบสุดซึ้งไปในภาคแรก
แต่ก็ยังกลับมาเคียงข้างแฟนสาวในภาคนี้เช่นเดิม สมทบด้วยสองตัวร้ายใหม่อย่าง “ชีตาห์” หรือ “บาร์บารา มิเนอร์วา” วายร้ายสุดเซ็กซี่ ที่รับบทโดย “คริสเทน วิก” และ “เปโดร ปาสคาล” ในบท “แม็กซ์ ลอร์ด” ผ่านฝีมือการกำกับของผู้กำกับสาวฝีมือเยี่ยมเจ้าเก่า “แพ็ตตี้ เจนกินส์” ที่ทำผลงานเอาไว้ได้ดีมากๆในภาคแรก กวาดทั้งรายได้และเสียงชื่นชมจากผู้ชมทั่วโลก
เนื้อเรื่อง
เป็นภาพยนตร์อเมริกันแนวซูเปอร์ฮีโร สร้างจากตัวละครหนังสือการ์ตูน วันเดอร์วูแมนของดีซีคอมิกส์ เป็นภาคต่อของภาพยนตร์เรื่อง วันเดอร์ วูแมน ในปี พ.ศ. 2560 และเป็นภาพยนตร์ลำดับที่เก้าในจักรวาลขยายดีซี (DC Extended Universe)
กำกับโดย แพตตี เจนคินส์ โดยเธอเขียนบทภาพยนตร์ร่วมกับ เจฟฟ์ จอห์นและเดวิด คัลลาแฮม นำแสดงโดย กัล กาด็อต คริส ไพน์ คริสเตน วิก เปโดร ปาสกาล จัดจำหน่ายโดย วอร์เนอร์บราเธอส์พิกเจอร์ส เป็นภาคต่อที่ทิ้งเวลาระยะห่างการฉายจากภาคแรกมากว่า 3 ปี
เรื่องราวของวีรสตรีจากชนเผ่านักรบหญิงอะเมซอนผู้มีพลังมหัศจรรย์และใช้มันต่อสู้กับเหล่าร้ายที่หวังจะทำลายโลก อย่าง ไดอาน่า ปรินซ์ หลังจากที่สร้างกระแสคำชมไปอย่างกว้างขวางถึงการเป็นภาพยนตร์วีรสตรีหญิงในโลกฮอลลีวู้ดกวาดรายได้ไปกว่า 820 ล้านเหรียญสหรัฐ
ก็ทำให้ใครหลายคนคาดหวังถึงภาคต่อของการเดินทางจากคนที่ไร้เดียงสาไม่รู้อะไรเกี่ยวกับโลก สู่การเป็นวีรสตรีที่ใช้ชีวิตเป็นหนึ่งเดียวกับโลก มาคราวนี้แพตตี เจนคินส์ก็ไม่พลาดที่จะโชว์ศักยภาพในการทำภาพยนตร์ในฐานะผู้บุกเบิกการทำลายอคติทางเพศแบบที่ผู้กำกับหญิงหลายคนต้องเผชิญ เพื่อเข้าสู่ยุคใหม่ ยุคที่แสนมหัศจรรย์ตามชื่อ วันเดอร์ วูแมน
แย่หน่อยที่ปีนี้เรียกได้ว่าอุตสาหกรรมต่าง ๆ ต้องพากันเลื่อนกำหนดจากเดิมกันถ้วนหน้า เช่นเดียวกับเรื่องนี้ และการปรับตัวใหม่ของธุรกิจ จึงทำให้นี่เป็นหนังเรื่องแรกที่จะฉายในโรงก่อนหนึ่งอาทิตย์ ก่อนจะไปลงระบบสตรีมมิ่งของตัวเองอย่าง HBO MAX โชคดีที่ในไทยเราได้ดูก่อนอเมริกา
เราจึงได้ดูหนังฮีโร่ต้อนรับเทศกาลคริสต์มาสที่สุดแสนจะวิเศษ เรียกว่าเป็นของขวัญได้มั้ย ก็อาจได้อยู่ แต่ถึงจะเป็นหนังภาคต่อ แต่ก็ไม่ได้เดินเนื้อเรื่องหนึ่งต่อหนึ่งอย่างใด แต่เป็นการข้ามยุคสมัย หนังจึงไม่จำเป็นต้องปูพื้นอะไร คนดูก็คงเข้าใจแล้ว
แต่ถ้ายังไม่ได้ดูก็ขอเล่าเรื่องย่อภาคแรกก่อน “ไดอาน่า ปรินซ์ได้พบกับสตีฟ เทรเวอร์ นักบินหนุ่มผู้นำความจริงว่าสงครามกำลังจะเกิดขึ้น จนกระทั่งเธอได้ค้นพบว่าโลกที่สวยงาม มันไม่เคยเป็นแบบที่เธอเข้าใจ แม้สุดท้ายจะสามารถจัดการกับปัญหาได้ แต่เธอก็มีราคาที่ต้องจ่ายเช่นเดียวกัน” รายละเอียดเป็นยังไงก็ไปหามาดูนะครับ
เพราะสนุกใช้ได้ เป็นหนังใหม่เต็มเรื่อง ดีซีที่ไม่ได้เน้นฉากแอ็คชั่นอย่างเดียว แต่มีซีนอารมณ์และจังหวะจะโคน ดนตรีประกอบที่พอจะทำให้มันเข้าออสการ์ได้ในตอนนั้นเลยสำหรับผม เพราะฉะนั้นภาคต่อจึงเป็นสิ่งที่ผมคาดหวังว่ามันจะต้องดีกว่าภาคแรกแน่ ๆ แต่ผมคิดยังไงกับมันก็เชิญอ่านเรื่องย่อกันก่อน
ปีค.ศ. 1984 หกสิบหกปีภายหลังจบสงครามใหญ่ในภาคแรกที่ไดอาน่าได้ต่อสู้และสูญเสียสิ่งที่รักไป ตั้งแต่นั้นเธอก็ต่อสู้เพื่อปกป้องผู้คนจากความชั่วร้าย ท่ามกลางยุคสมัยที่วอร์ชิงตัน ดีซี ความเจริญและเทคโนโลยีเปี่ยมไปด้วยความสวยงามและกลอุบาย ที่นั่นเธอได้พบกับ บาร์บารา มิเนอร์วา หญิงสาวขี้อาย ผู้มีจิตใจดี แต่ไม่มั่นใจในตัวเอง ผูกมิตรกันในฐานะเพื่อนร่วมงาน
แต่ระหว่างที่ความสัมพันธ์และมิตรภาพกำลังไปได้อย่างราบรื่น ความปรารถนาอันเหลือล้นของมนุษย์ที่ไม่มีสิ้นสุดก็กำลังถูกขับเคลื่อนโดยสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่จะผลักดันให้ทั้งโลกนั้นพบกับจุดจบของอารยธรรม และในขณะเดียวกันเธอเองก็กำลังจะได้ค้นพบความจริงบางอย่างที่จะเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล
ในภาคนี้
ไดอานา ในภาคเว็บหนัง HDนี้ ไม่ใช่สาวชาวแอมะซอน ผู้ไร้เดียงสาที่เพิ่งทำความรู้จักกับโลกใบใหม่อีกต่อไป หากแต่เป็นนักโบราณคดีสาวสุดเพอร์เฟกต์ ที่ซ่อนพลังมหัศจรรย์ไว้เบื้องหลัง ก่อนที่เธอจะได้รู้จักกับ บาร์บารา มิเนอร์วา เพื่อนร่วมงานสุดเปิ่น ผู้ถูกมองข้ามอยู่เสมอในสายตาคนรอบข้าง
ซึ่งนำพาทั้งคู่ไปค้นพบพลังปริศนาที่เปลี่ยนชีวิตทั้งสองสาว พลิกผันจากหน้ามือเป็นหลังมือ ซึ่งพลังที่ว่านี้ ก็ยังไปพัวพันกับการกลับมาของ สตีฟ ที่ทำให้ไดอานาต้องตัดสินใจครั้งที่ยากที่สุดในชีวิต รวมไปถึงการก้าวสู่อำนาจ อันไร้ขีดจำกัดของ “แม็กซ์ ลอร์ด” นักธุรกิจสุดทะเยอทะยาน ที่พร้อมจะนำพาหายนะมาสู่โลกทั้งใบ
สิ่งที่โดดเด่น
สิ่งที่โดดเด่นที่สุดของ Wonder Woman 1984 เห็นจะเป็นส่วนของดราม่า ที่ผู้กำกับเลือกถ่ายทอดผ่านตัวละคร ไดอานา ผู้ซึ่งผ่านการสูญเสีย เติบโต และต้องเผชิญบทพิสูจน์ครั้งสำคัญในชีวิตอีกครั้ง บทหนังให้ความสำคัญกับการบอกเล่าเรื่องราว ความสัมพันธ์ของแต่ละตัวละคร ทั้งฮีโร่และวายร้าย ค่อยๆปูทางไปสู่งบทสรุปในตอนท้าย ที่อาจจะเรียกน้ำตาใครต่อใครได้หลายคน
แต่ถ้าหากแฟนๆ คาดหวังจะได้เห็นฉากแอ็กชันสุดอลังการ ตื่นตาตื่นใจ แบบจัดหนักจัดเต็มแล้วละก็ อาจจะต้องผิดหวังกันเล็กน้อย เพราะฉากแอ็กชันของ Wonder Woman 1984 แม้จะทำออกมาได้ตระการตาตามมาตรฐาน แต่ก็แสนจะจำกัดจำเขี่ย และไม่จุใจเท่ากับที่เคยฝากไว้ในหนังเรื่องก่อนๆ อย่าง Wonder Woman ภาคแรก Justice League รวมทั้ง Batman v Superman: Dawn of Justice
งานภาพ และสเปเชียลเทคนิคต่างๆ ยังคงทำออกมาได้สวยงามเนียนตา แต่ก็ไม่ได้เรียกเสียงฮือฮาอะไรนัก เรียกได้ว่าอยู่ในระดับน่าพอใจตามมาตรฐาน อาจจะด้วยเหตุผลที่ว่า ตัวหนังให้ความสำคัญกับเรื่องราวดรามามากกว่าส่วนอื่นๆ ดังที่ได้กล่าวไปแล้วนั่นเอง
โดยรวม
โดยรวมแล้วหนังอยู่ในระดับมาตรฐานของหนังซูเปอร์ฮีโร ให้ความบันเทิงได้พอประมาณ แต่ไม่สามารถพูดได้ว่านี่คือหนังซูเปอร์ฮีโรที่ สนุก จะด้วยปัญหาที่มาจากความพร่องด้วยฤทธิ์เดชพิษสงของตัวร้าย หรือสถานการณ์คับขันที่ตัวเอกต้องประสบ บวกกับความยาวที่เกินพอดี แต่ปัจจัยสำคัญที่ทำให้รู้สึกรื่นรมย์ได้ตลอดเรื่องก็คือความสวยระดับทะลุจอของ กัล กาด็อต นี่ล่ะ
สรุป
ถือเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่มาได้ถูกจังหวะก่อนวันคริสต์มาสพอดี เป็นได้ทั้งหนังแอ็คชั่นเท่ ๆ ทั้งทริลเลอร์คอมเมดี้ โรแมนติก และยังแฝงไปด้วยประเด็นที่อาจจะโลกสวยไม่ต่างกับภาคแรก แต่ด้วยความสนุกตลอด 2 ชั่วโมงครึ่ง ก็ทำให้ผมไม่รู้สึกว่ามีอะไรต้องเพิ่มเติมเลย เพราะหนังให้ได้หมดแล้ว
งานภาพ งานซีจี งานดนตรี การแสดงและเนื้อเรื่อง เรียกได้ว่าเป็นหนังซูเปอร์ฮีโร่ที่ยกระดับตัวเองจากภาคแรกได้อย่างสมบูรณ์ แม้จะมีบางอย่างที่ส่วนตัวยังประทับใจในภาคแรก แต่ไม่ใช่หนังที่ควรข้ามไปแน่นอน โดยเฉพาะใครที่ดูมาตั้งแต่ภาคแรกคงไม่พลาดแน่ ๆ เพราะงั้นนี่จึงเป็นหนังส่งท้ายปีที่ดูแล้วก็ไม่เสียเงินแน่นอน อย่าพลาดเอนเครดิตนะครับ แฟน ๆ วันเดอร์วูแมน!
Comments