รีวิว We Can Be Heroes - รวมพลังเด็กพันธุ์แกร่ง
ภาพยนตร์โดย netflix Original เป็นภาพยนตร์แนวซุปเปอร์ฮีโร่แบบเด็ก ๆ ที่ผู้ใหญ่ดูแล้วอาจจะย้อนกลับมาตั้งคำถามกับตัวเองว่า สิ่งที่เราคิดสิ่งที่เราทำนั้นมันถูกต้องหรือไม่ ถึงเวลาแล้วหรือยังที่จะให้โอกาสคนรุ่นใหม่ ได้ดูแลบางสิ่งบางอย่างรวมถึงอนาคตของโลกใบนี้แทนเรา เป็นหนังที่เด็กดูได้ผู้ใหญ่ดูดี แถมยังสนุกมาก ๆ อีกด้วย รีวิว We Can Be Heroes
เรื่องย่อ
ในโลกปัจจุบันมีกลุ่มฮีโร่ที่แกร่งที่สุดมีชื่อว่า ฮีโร่อิกส์ พวกเขาได้พบสัญญาณของเหล่าเอเลี่ยน จึงต้องทำให้เหล่าฮีฌร่ต้องออกปฏิบัติการไปหยุดยั้งเหล่าเอเลี่ยน แต่พวกเขากลับโดนจับตัวไว้ได้ ซึ่งในนั้นมี มาร์คัส พ่อของ มิซซี่ สาวน้อยซึ่งไร้พลังวิเศษ ได้มาอยู่กับเหล่าลูกของซุปเปอร์ฮีโร่ในฐานลับของฮีโร่อิกส์ พวกเด็ก ๆ จึงต้องหาวิธีทางที่จะช่วยเหลือพ่อแม่ของตนจากเอเลี่ยนให้ได้
เป็นหนังทุนสร้างที่สูงอีกเรื่องของเน็ตฟลิกซ์ที่จะหยิบยกเรื่องราวของ The Adventures of Sharkboy and Lavagirl in 3-D ที่ผ่านไปนานหลายปีแล้ว จนพวกเขาแต่งงานและมีลูกกัน แต่ภัยร้ายที่โลกยังไม่หมด ทำให้พวกเขาต้องเข้าร่วมทีม ฮีโร่อิกส์
ซึ่งถือว่าเป็นกลุ่มฮีโร่ที่แกร่งที่สุดในโลกเพื่อปกป้องโลกจากเหล่าวายร้าย ภายในเรื่องนี้นักแสดงหลักสองคนที่เป็นเอกจากเรื่อง Sharkboy and Lavagirl ได้กลับมาแสดงอีกครั้งในเวอร์ชั่นตอนโตอีกครั้ง นี้ถือว่าเป็นการเซอร์ไพรส์แฟน ๆ เป็นอย่างมากเลยทีเดียว เรื่องนี้มีลงใน Netflix kids ด้วยนะ พร้อมภาษาไทยให้รับฟังกันได้เลย
สไตล์ของ We Can Be Heroes ถือเป็นการนำเสนอแบบเฉพาะตัวของผู้กำกับโรเบิร์ต รอดดิเกซ ที่เน้นการออกแบบฉากหลังให้มีลักษณะคล้ายกับตัวละครเล่นอยู่กับสวนสนุกสำหรับเด็กที่อยู่ตามในห้างสรรพสินค้า เช่น บ้านบอล รถยานอวกาศ
ที่จะมีสีสันฉูดฉาดบาดตา มีลักษณะเหนือจริง ประกอบกับการที่เหล่านักแสดงต้องเล่นอยู่บนกรีนสกรีน ก็จะทำให้คนดูหนังยุคนี้มองว่ามันเป็นงาน CGI ที่ดูห่วยแตก ซึ่งถ้าดูหนังออนไลน์มองย้อนกลับไปในผลงานเก่าๆ ตั้งแต่ Spy Kids ในปี 2001 ที่มีฉากหลังเป็นเช่นนี้ เราก็จะมอง We Can Be Heroes ว่ามันเป็นสไตล์เฉพาะตัวของผู้กำกับ
แม้เนื้อเรื่องที่อาจจะดูไม่มีอะไร แต่หนังเด็กของผู้กำกับโรเบิร์ต รอดดิเกซ มักจะพูดถึงประเด็นสายสัมพันธ์ของครอบครัว เราจะได้เห็นตัวละคร พ่อ แม่ ลูก รวมไปถึงญาติพี่น้อง ปรากฏตัวอยู่ในเรื่องราวอย่างน่าอัศจรรย์ ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเรื่องราวทุกอย่างคลี่คลายลง หนังของเขามักจะทำให้คนดูได้เห็นอยู่เสมอว่า สถาบันครอบครัวนั้นมีผลอย่างไรต่อบรรดาลูกหลานอย่างชัดเจน
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวที่โลกของเรานั้นมีซุปเปอร์ฮีโร่อยู่เต็มไปหมด พวกเขาเรียกกลุ่มของตัวเอง Heroics ทำงานร่วมกันเป็นองค์กร คอยพิทักษ์ปกป้องโลกใบนี้ แต่แล้ววันหนึ่ง เกิดเหตุการณ์มนุษย์ต่างดาวบุกโลก Heroics จึงรวมตัวซุปเปอร์ฮีโร่ทั้งหมดออกมาป้องกันโลกใบนี้เอาไว้
แต่เนื่องจากโลกสงบสุขมานาน เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่ก็ขาดการฝึกซ้อม แถมยังมีการทะเลาะเบาะแว้งระหว่างการต่อสู้ตลอดเวลา จึงทำให้พลาดท่าเสียที ถูกมนุษย์ต่างดาวจับตัวไป นับเป็นการพ่ายแพ้ครั้งแรกของ Heroics
ระหว่างที่เหล่าซุปเปอร์ฮีโร่กำลังสู้กับมนุษย์ต่างดาวนั้น เหล่าบรรดาลูก ๆ ของซุปเปอร์ฮีโร่ก็ถูกเรียกตัวมารวมกันเก็บไว้ที่ฐานใต้ดินของ Heroics เพื่อความปลอดภัยสูงสุด ซึ่งลูกของซุปเปอร์ฮีโร่นก็ล้วนแต่มีพลังด้วยกันแทบทั้งสิ้น เช่นพลังตัวยึด พลังในการควบคุมน้ำ พลังในการใช้เสียง พลังในการเปลี่ยนแปลงใบหน้า ใช้พลังในการวาดรูปอนาคต เป็นต้น
มีเพียง Missy Moreno ลูกสาวของผู้นำ Heroics ที่ไม่มีความสามารถพิเศษ แต่เนื่องจากเธอมีความสามารถด้านความคิด การวิเคราะห์ จึงกลายเป็นผู้นำกลุ่มเหล่าฮีโร่เด็ก ๆ นี้ได้ และด้วยพลังในการวาดรูปอนาคตของเด็กคนหนึ่งนั้น ก็ทำให้เด็ก ๆ กลุ่มนี้ต้องหลบหนีออกจากฐานใต้ดิน เพื่อไปช่วยพ่อแม่ของพวกเขา
การดำเนินเรื่อง
เรื่องราวในช่วงแรกอาจจะทำให้หลาย ๆ คนอาจเลิกดูก็เป็นได้ เมื่อการใส่ซีจีสู้กับสัตว์ประหลาดในช่วงแรกนั้นมันช่างแย่เหลือเกิน พร้อมด้วยชุดเห่ย ๆ ที่ทำล้อเลียนซุปเปอร์แมน ทำให้ตอนแรกนั้นมีอคติไปบ้าง แต่เมื่อพอดูไปเรื่อย ๆ กลับพบว่าเรื่องนี้มีความน่าสนใจมากกว่าที่คิด
นี้มันคือหนังซีรี่ย์ Netflixสำหรับ Geek ซุปเปอร์ฮีโร่เลยก็ว่าได้ การทำฮีโร่ต่าง ๆ แทบจะยกมาจากตัวละคร DC comics เกือบทั้งหมด ไม่ว่าจะมี มิราเคิลแมนที่ล้อเลียนซุปเปอร์แมน, สโลโมที่ล้อเลียนแฟรช นู้ดเดิ้ลล้อเลียนมนุษย์ยางยืด
นอกจากนี้ยังมี ฟาสฟอร์เวิดและรีไวล์ไทม์ ที่ยังสามารถย้อนอดีตและเร่งเวลาได้เหมือนวิดีโอเพลเยอร์ ทำให้เมื่อดูไปเรื่อย ๆ พลังส่วนใหญ่ก็จะออกแนวเวอร์ ๆ ทั้งนั้น เวลาดูเลยสนุกที่เด็กเหล่านี้ชอบเอาพลังเหล่านี้มาทำอะไรแปลก ๆ อยู่เสมอ
พร้อมประโยคแซะหนังฮีโร่เก่า ๆ ที่ทำให้คนดูต้องฮา แต่พอหนังเล่าถึงกลางเรื่อง หลาย ๆ อย่างภายในเรื่องก็เริ่มที่จะสนุกน้อยลง ฉากแอ็กชั่นที่ทำออกมาค่อนข้างแย่ การเตะต่อยที่ไม่มีอิมแพ็ค ความไม่สมเหตุสมผลมาเต็มไปหมด ส่งผลให้อารมณ์ร่วมหายไปมีแต่ชงมุกไปเรื่อย
จนกระทั่งถึงปลายเรื่องที่จะมีหลาย ๆ อย่างที่สนุกถาโถมเข้ามาไม่หยุด ความสนุกอยู่ที่บทสนทนา และการเล่าเรื่องของท้าย ๆ บท ที่ชงมุกออกมาได้ดี และยังเก็บรายละเอียดของเรื่องเฉลยออกมาได้โอเค บทสรุปโอเค ไม่ย้อนแย้งกับตัวเรื่องซักเท่าไหร่
การแสดงของเหล่าเด็ก ๆ
ถ้าใครติดตามนักแสดงเก่า ๆ จาก The Adventures of Sharkboy and Lavagirl in 3-D อาจจะต้องผิดหวังกันได้ เพราะบทเด่น ๆ ของพวกเขานั้นแทบจะไม่มีเลย การโชว์พลังเหมือนกับการมาโชว์ความอ่อนซะมากกว่า
คนที่จะมาดูเรื่องนี้เพื่ออยากเห็นพัฒนาการของพวกเขานั้น อาจจะต้องทำให้ผู้ชมผิดหวัง เพราะนี้เป็นหนังโฟกัสไปที่ลูก ๆ ของเหล่าฮีโร่เพียงอย่างเดียวเลย การมาของคนรุ่นใหม่จะมาแทนที่คนยุคเก่า
การแสดงของเหล่าเด็ก ๆ ยังคงมีปัญหาอยู่ที่การแสดงของพวกเขายังไม่สามารถดึงดูดผู้ชมให้สามารถอินไปกับเนื้อเรื่องได้ ซึ่งมันช่างน่าเสียดายมาก ที่นักแสดงจาก Spy kids แสดงออกมาได้ดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นฉากต่อสู้หรือการพูดคุย ยังคงยกให้ The Adventures of Sharkboy and Lavagirl in 3-D ยังดีกว่าเรื่องนี้
โดยรวม
เรื่องนี้เป็นผลงาน Robert Anthony Rodriguez โปรดิวเซอร์จาก Spy kids ทั้งสี่ภาค และผู้กำกับ The Adventures of Sharkboy and Lavagirl in 3-D จึงไม่ค่อยแปลกใจเลยว่าทำไมหนังเรื่องนี้ถึงมีกลิ่นอายของหนังซุปเปอร์ฮีโร่เด็กมากขนาดนี้
นี้เป็นการนำผลงานเมื่อ 15 ปีที่แล้ว มาปัดฝุ่นใหม่อีกทีให้ทันสมัยมากขึ้น พร้อมด้วยการล้อเลียนประเด็นของเหล่าฮีโร่ที่หลาย ๆ คนสงสัย ทำให้หนังเรื่องนี้มีสีสันมากขึ้น จึงมั่นใจว่าเรื่องนี้ถ้าใครเป็นแฟน ๆ ของเหล่าฮีโร่อาจจะชอบมุกที่หยอกล้อและความบันเทิงที่เรื่องนี้นำเสนออย่างแน่นอน
สรุป
หนังเรื่องนี้ให้ความรู้สึกย้อนวันวานเมื่อเรายังนั่งดู Spy kids ที่เหล่าเด็ก ๆ จะได้มาโชว์ของให้รู้ว่า ฉันเจ๋งกว่าผู้ใหญ่ ภายในเรื่องมีฉากจิกกัดเหล่าฮีโร่แบบเบา ๆ ให้เราได้สนุกและเพลิดเพลินไปกับเรื่อง แต่หนังเรื่องนี้จะมีความไม่สมเหตุสมผลเยอะมาก ถ้าใครไม่ชอบอาจจะต้องผ่านไปได้เลย
Comments