รีวิว Transformers: The Last Knight - อัศวินรุ่นสุดท้าย
สำหรับภาคล่าสุด Transformers The Last Knight (2017) ที่เป็นทั้งงานฉลองครบรอบ 10 ปีของหนังชุดทรานส์ฟอร์เมอร์สและงานอำลาการกำกับหนังชุดนี้ของไมเคิล เบย์ คงหนีไม่พ้นจุดน่าสนใจในการส่งไม้ต่อให้สตูดิโอนำไปขยายจักรวาลให้หนังชุดนี้ยังมีลมหายใจต่อไป โดยบทหนังเปิดประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นมาสมัยอัศวินโต๊ะกลมกับการเดินทางมาครั้งแรกๆ ของเหล่าจักรกลต่างดาวที่เข้ามาช่วยเขียนหน้าประวัติศาสตร์ให้มนุษยชาติ รีวิว Transformers: The Last Knight
เรื่องย่อ
สงครามระหว่างมนุษย์และเหล่าจักรกลแปลงร่างยังไม่จบสิ้น ทำให้ เคด เยเกอร์ (มาร์ค วาห์ลเบิร์ก) นักประดิษฐ์ที่ผันตัวมารบ, บัมเบิลบี และ อิซาเบลลา (อิสาเบลา โมเนอร์) เด็กสาวกำพร้า ต้องมาร่วมทีมกับ เซอร์ เอ็ดมอนด์ เบอร์ตัน (แอนโธนี ฮอปกินส์) และ วิเวียน เวมบลี (ลอรา แฮดดอก)
เพื่อหาสาเหตุที่เหล่าทรานส์ฟอร์เมอร์สกรีฑาทัพมาทำสงครามบนโลกที่อาจเกี่ยวพันกับประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ไม่เพียงเท่านั้น ออพติมัสไพร์มยังถูกราชินีเทสซ่าบงการให้กลับมาชิงของสำคัญที่สามารถทำลายโลกได้เพียงพริบตา
นับไปนับมาเราก็อยู่กับหนัง Transformers มา 10 ปีพอดีในปีนี้ ตั้งแต่ปี 2007 ที่พ่อมดฮอลลีวูดอย่าง สตีเวน สปีลเบิร์ก ยังชักใยความมันส์อยู่หลังไมเคิล เบย์อีกที ซึ่งทำให้หนังภาคแรกมีส่วนผสมที่ลงตัวทั้งไซไฟ จินตนาการแบบหนังสปีลเบิร์ก
โดยมีฉากหุ่นยักษ์ไอรอนไฮด์ขึ้นจากสระน้ำแล้วเดินผ่านเด็กสาวตัวน้อยดูอบอุ่นหัวใจผสมผสานกับความยียวนของเหล่าตัวละครสมทบและฉากแอ็คชั่นตื่นตาตื่นใจสไตล์ไมเคิล เบย์ จนทำให้ Transformers (2007) กลายเป็นหนังไซไฟที่ถูกใจคอหนังทันทีที่มันออกฉาย
แต่ต่อมาด้วยจำนวนภาคที่มากขึ้นสวนทางกับความสมเหตุสมผลของบทหนังก็ทำให้มันกลายเป็นงานขายเอฟเฟกต์ดาษดื่น ที่ต้องมีฉากโชว์แปลงร่าง หรือ ระเบิดตูมตามทุก 5 นาทีจนมนต์ขลังของหนังภาคแรกหายไปอย่างน่าเสียดาย
เนื้อเรื่อง
ยังคงเล่าเรื่องของผู้ชายคนเดิม เคด เยเกอร์ (มาร์ค วอห์ลเบิร์ก) ที่กบดานและหลบหนีการถูกตามล่าตัวโดยกองกำลังกลุ่มใหม่ในนาม TRF ไม่ใช่แค่นั้น เพราะเขาก็ต้องปกป้องเหล่าพันธมิตรออโตบอตด้วยเช่นกัน
ภารกิจของเขาทำให้ได้รู้จักกับสาวน้อยอิซซี่ (Isabela Moner) ที่มีคู่ซี้เป็นเจ้าหุ่นตัวเปี๊ยก แต่เหตุการณ์มันมิใช่แค่นั้น เมื่อโลกนี้ยังมีความลับที่กำลังจะถูกเปิดเผย ว่ามนุษย์โลกนั้นเคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงใหม่ไปกับเหล่าทรานส์ฟอร์เมอร์ส
อัศวินโต๊ะกลมที่เรารู้จักกัน ไม่ว่าจะเป็น คิงอาร์เธอร์ แลนสล็อต หรือแม้แต่พอมดเมอร์ลิน ต่างก็เคยร่วมประชุมและรบกับเหล่าอัศวินผู้กล้าจากดาวไซเบอร์ทรอนมาแล้วทั้งนั้น
ผู้กุมความลับของเรื่องราวทั้งหมดคือขุนนางอังกฤษผู้หนึ่งที่มีนามว่า เซอร์ เอ็ดมัน เบอร์ตัน (เซอร์ แอนโธนี ฮ็อปกินส์) และวิเวียน เวมบลีย์ ศาสตราจารย์จากอ็อกซ์ฟอร์ด (ลอร่า แฮดด็อก) ที่จะพาเราไปพบกับเบื้องหลังบางอย่างที่สงสัยกันมานาน
ทำไมพวกมันจึงสนใจใน “โลก” ยิ่งนัก นอกจากนี้ เหล่าออโตบอตยังต้องเจออีกปัญหา เมื่อออปติมัส ไพรม์ ผู้นำของตนกลับเปลี่ยนข้างกลับมาทำร้ายพวกเดียวเสียเอง จึงเป็นอีกปัญหาที่ต้องปวดหัวกัน
การดำเนินเรื่อง
สำหรับภาคล่าสุด Transformers The Last Knight (2017) ที่เป็นทั้งงานฉลองครบรอบ 10 ปีของหนังชุดทรานส์ฟอร์เมอร์สหนังใหม่เต็มเรื่องและงานอำลาการกำกับหนังชุดนี้ของไมเคิล เบย์ คงหนีไม่พ้นจุดน่าสนใจในการส่งไม้ต่อให้สตูดิโอนำไปขยายจักรวาลให้หนังชุดนี้ยังมีลมหายใจต่อไป
โดยบทหนังเปิดประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างความเป็นมาสมัยอัศวินโต๊ะกลมกับการเดินทางมาครั้งแรกๆ ของเหล่าจักรกลต่างดาวที่เข้ามาช่วยเขียนหน้าประวัติศาสตร์ให้มนุษยชาติ
แต่หนังกลับนำเสนอเรื่องราวตรงนี้ในช่วงต้นได้อย่างน่าเบื่อหน่ายราวกับมีไว้โชว์ฉากระเบิดและมุกฝืดๆ ตอนต้นเรื่อง มิหนำซ้ำมันกลับติดตามมาด้วยมหกรรมจับแพะชนแกะทั้งเปิดเรื่องมนุษย์ไม่ไว้ใจหุ่นยนต์แบบไม่มีที่มาที่ไป
หรือการที่เคดไปเก็บเด็กสาวเร่ร่อนมาเลี้ยงแบบแทบจะไม่ได้มีผลกับเรื่องราว และหนังก็ใช้เวลาตลอดองก์หนึ่งตัดสลับเรื่องราวระหว่าง ความสัมพันธ์แบบพ่อลูกบุญธรรมระหว่างเคดและอิซาเบลลา
การตามหาความจริงเรื่องวัตถุประหลาดบนโลกของเซอร์เอ็ดมอนด์ การค้นพบภัยพิบัติของนาซ่าและการถูกครอบงำของออพติมัสไพร์มแบบกระจัดกระจายจนน่าสับสนและกว่าเรื่องราวจะขมวดปมเข้าหากันก็เลยไปจนช่วงท้ายองก์สอง
จุดด้อย
บางปมปัญหาหนังก็ทิ้งมันไปดื้ออย่างไม่แคร์เพื่อยัดเยียดฉากแอ็คชั่นโครมครามสุดน่าเบื่อให้ปรากฎอยู่รายทาง ทั้งหมดทั้งมวลยิ่งตอกย้ำแผลเป็นด้านบทหนังที่น่าจะผ่านการเสริมเติมต่อ
เพื่อมุ่งสู่การขยายจักรวาลจนทิ้งตรรกะและความสมเหตุสมผลของเรื่องราวจนได้หนังที่ทั้งจะเป็นคิงอาเธอร์ เป็นสตาร์วอร์ สตาร์เทรค แต่ล้มเหลวในการเป็นทรานส์ฟอร์เมอร์สอย่างที่ควรจะเป็นไปอย่างน่าเสียดาย
อีกแผลเหวอะหวะใหญ่ๆคือการกำกับการแสดงของไมเคิล เบย์ ที่นอกจากการกำกับฉากบู๊ได้อลหม่านและเอะอะมะเทิ่งแล้ว เขายังสามารถฉุดนักแสดงมีฝีมือทั้ง มาร์ค วาห์ลเบิร์ก และ แอนโธนี ฮอปกินส์ มาเสียเวลากับบทสนทนาไร้สาระและยืดยาว แบบไม่ต้องใช้นักแสดงระดับนี้ก็ได้
ภาคนี้...แย่?
ผมไม่ได้อยากทำตัวสวนกระแสอะไรหรอกนะ แต่ว่าทำไมช่วงนี้มีแต่คนออกมาบ่นหนังเรื่อง Transformers: The Last Knight กันอย่างหนาหู บ้างก็ว่าพล็อตไม่โอเค แต่เรากลับไม่รู้สึกแบบนั้น เราว่าข้อเสียจริงๆ ของภาพยนตร์เรื่องนี้คือความยาว
ที่เล่นจัดหนักจัดเต็มมาถึง 2 ชั่วโมงครึ่ง เราเองก็ยอมรับว่าตอนท้ายๆ เรื่องน่ะ ไม่สามารถซับซับอรรถรสของเรื่องได้มากเท่าไหร่ เพราะว่าปวดท้องอยากเข้าห้องน้ำเอามากๆ แต่ต้องกลั้นเอาไว้ กลัวจะพลาดตอนสำคัญไป
สำหรับเราแล้ว Transformers: The Last Knight นั้นไม่ได้เลวร้ายอะไรเท่าไหร่ เพราะเราเป็นคนชอบเว็บหนัง HD ฉากแอคชั่นอยู่แล้ว การที่มีฉากต่อสู้ในเรื่องก็ทำออกมาได้ดี แถมยังมีให้ดูอยู่เกือบทุก 5 นาทีด้วยซ้ำ ใครที่ชอบหนังแนวบู๊ล้างผลาญคงจะถูกอกถูกใจหนังเรื่องนี้ได้ไม่ยาก
แถม CG ของเรื่องก็ทำออกมาได้เนียนและสมจริงดี ตัวพล็อตเองที่มีการเชื่อมโยงเรื่องราวไปยังยุคของกษัตริย์อาเธอร์และพ่อมดเมอร์ลินนั้นก็เป็นเรื่องที่พอจะยอมรับได้ ถึงแม้ว่าหลักฐานที่จะโน้มน้าวให้เชื่อว่าจะมีหุ่นยนต์ต่างดาวอยู่ในยุคนั้นจริงๆ จะดูเกินจริงไปเสียหน่อย
แต่อย่างน้อยตอนนี้ก็ไม่มีใครสามารถเดินทางย้อนอดีตไปได้ แถมมังกรในตำนานจากทั่วโลกอยู่ๆ ก็หายสาบสูญไป โดยที่ไม่มีการขุดค้นพบซากกระดูกเลยแม้แต่ชิ้นเดียว บางทีแนวความคิดที่ว่ามังกรที่เรารู้จักกัน
อาจจะเป็นเหล่าบรรดา Autobot จริงๆ ก็ได้ เพราะขนาดไดโนเสาร์ที่มีอายุมากกว่านั้นหลายล้านปี เราก็ยังสามารถพบฟอสซิลได้เลย มันก็เลยกลายเป็นประเด็นชวนถกเถียง ว่าทำพล็อตแบบนี้มีสมศักดิ์ศรีภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์รึเปล่า
จุดชื่นชม
แต่ที่ต้องชื่นชม เบย์ และทีมแคสติ้งคือการแนะนำนักแสดงสาวทรงสเน่ห์สองวัย คนแรก คือ ลอรา แฮดดอก สาวอังกฤษหน้าตาเย้ายวนจากซีรีส์ Da Vinci’s Demons ที่รับบทศาสตราจารย์ด้านวรรณกรรมอังกฤษได้อย่างมีเสน่ห์แม้บทจะไม่ได้โชว์สติปัญญาของตัวละครนักก็ตาม แต่ด้วยริมฝีปากอวบอิ่มและตากลมโตพร้อมหุ่นและสำเนียงอังกฤษสุดเซ็กซี่ก็เพียงพอให้หนุ่มๆ รักเธอได้ไม่ยาก
และอีกหนึ่งสาวน้อยอย่าง อิสาเบลา โมเนอร์ สาวสวยวัย 16 ที่มีผิวแทนสวยก็มารับบทเด็กกำพร้าสุดห้าวและมีฉากโชว์ร้องให้โหยหาความรักความเมตตาได้อย่างน่า “เห็นใจ” จนลุงๆที่นั่งหน้าจออยากขอมาอุปการะแทนนายเคด เยเกอร์ เสียเอง
โดยรวม
หนังอาจจะมีปัญหาบ้างที่ไม่ทำให้ผู้คนอินหรือมีอารมณ์ไปกับเรื่องราว เพราะเหมือนหนังจะไม่ได้เล่าเรื่องของใคร หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ไม่ได้ให้เวลาที่ทำให้เรารู้จักกับใครในนั้นมากพอ เรามีเพียงความผูกพันพอประมาณกับตัวละครเก่าๆ ที่เราเคยดูมาหลายๆ ภาค แต่มันก็ยังไม่มากพอที่จะทำให้เราได้อิน
แม้ช่วงท้ายจะจัดหนัก ก็ไม่ได้แปลว่าเราจะมีอารมณ์ร่วมไปกับมัน ส่วนหนึ่งมันมีปัญหาในการเล่าเรื่อง ส่วนตัวคิดว่าถ้าหนังตัดตัวละครที่ไม่จำเป็นออกไปเสียบ้าง ตัดคำพูดของบางตัวบางสถานการณ์ออกไป และจัดเรียงการเล่าเสียใหม่ หนังก็อาจจะดีกว่านี้ก็ได้
สรุป
สรุปคือแม้หนังจะมีทุกอย่างที่คุ้นเคยและถูกใจคนดูเหมือนทุกภาค ทั้งฉากบู๊หุ่นยนต์ซัดกัน สาวเซ็กซี่ เอฟเฟกต์อลังการงานสร้างและมุมกล้องเท่ๆ แต่ไมเคิล เบย์กลับล้มเหลวในการควบคุมทิศทางของเรื่อง ยังดีที่มีมุกตลกที่เวิร์คจาก หุ่นค็อกแมน และสมาคมป้าหัวใจเปลี่ยวญาตินางเอก ที่มาปล่อยมุกสามช่าให้เรื่องราวยังมีชีวิตชีวาอยู่บ้าง
Comments