top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนCharcoal Original

Tomorrow War


ดูหนังฟรี

รีวิว Tomorrow War - สงครามแห่งอนาคต

มาถึงอีกหนึ่งหนังบ็อกซ์บัสเตอร์ฟอร์มดีที่เคยถูกวางเอาไว้เป็นโปรแกรมทองหนังซัมเมอร์ประจำปีนี้ แต่เพราะว่าสถานการณ์โควิด-19 ที่เกิดขึ้น ทำให้ค่ายหนังได้ตัดสินใจย้ายฐานไปย้ายเป็นหนังสตรีมมิ่งออนไลน์แทน หนังแอ็กชั่นไซไฟถล่มเอเลี่ยนฟอร์มยักษ์ที่มาลงใน Amazon Prime พร้อมกับความมันส์ที่การันตีได้ระดับหนังบล็อกบัสเตอร์ของฮอลลีวูด โดยมี Chris Pratt นำแสดง รีวิว Tomorrow War


เรื่องย่อ


นักเดินทางข้ามเวลาเดินทางมาจากปี 2051 เพื่อบอกข้อความเร่งด่วน อนาคตในอีก 30 ปี มนุษยชาติกำลังจะพ่ายแพ้สงครามในการสู้กับมนุษย์ต่างดาวสายพันธุ์อันตราย ความหวังเดียวในการรอดชีวิตคือการส่งทหารและพลเรือนไปอนาคตเพื่อร่วมต่อสู้ แดน ฟอเรสเตอร์ ตัดสินใจช่วยโลกเพื่อลูกสาวของเขา เขาร่วมมือกับนักวิทยาศาสตร์ปราดเปรื่องและพ่อที่ระหองระแหงกันเพื่อเขียนชะตาใหม่ให้โลก


 

เราผ่านหนังสัตว์ประหลาดต่างดาวบุกโลกกันมาหลายเรื่องแล้วนะ ตั้งแต่ ID4, War of the World, Predator, Clover Filed, Edge of Tomorrow และไม่นานมานี้ก็ The Quiet Place ฉะนั้นการที่ฮอลลีวูดจะสร้างหนังแนวนี้ขึ้นมาอีก


ก็ต้องมั่นใจแล้วว่าหาช่องทางที่แตกต่างได้และสามารถดึงความสนใจผู้ชมได้ ก็ถือว่าพาราเมาท์มั่นใจกับโปรเจกต์นี้ถึงกับเททุนสร้างให้มหาศาลถึง 200 ล้านเหรียญ แต่ชะตากรรมของหนังก็เหมือนกับอีกหลาย ๆ เรื่อง ที่เจอกับสถานการณ์ Covid-19


แต่พาราเมาท์เลือกจะไม่เลื่อนแล้วก็ไม่เสี่ยงเอาเข้าโรงฉายในช่วงที่โรงหนังทั่วโลกยังไม่กลับมาเปิดเต็มอัตราด้วย ก็เลยเลือกทางออกด้วยการขายให้กับช่องสตรีมมิง Amazon Prime แบบเท่าทุนไปที่ 200 ล้านเหรียญ แล้ว Amazon Prime ก็อาศัยฤกษ์ดีปล่อยสตรีมมิงไปเมื่อ 2 ก.ค. รับเทศกาลวันชาติอเมริกา


เนื้อเรื่อง


The Tomorrow War เป็นเรื่องราวของโลกปัจจุบันที่ได้รับการติดต่อจากโลกอนาคตในอีก 30 ปีข้างหน้า พวกเขาระบุว่ามวลมนุษยชาติกำลังจะสูญสิ้นเพราะการรุกรานของสัตว์ประหลาดต่างดาวที่บุกยึดครองโลก


จึงทำให้ต้องขอความร่วมมือจากปถุชนในยุคปัจจุบัน เกณฑ์เป็นนักรบเพื่อวาร์บไปต่อสูญกับเหล่าสัตว์ประหลาดที่ไม่มีใครๆ ก็แทบจะไม่มีข้อมูลเบาะแสอะไรเกี่ยวกับมันเลย


แดน ฟอร์เรสเตอร์ หนุ่มรักครอบครัวและเป็นอาจารย์สอนวิทยาศาสตร์ประจำอยู่ที่โรงเรียนมัธยม ได้รับหมายเกณฑ์ต้องร่วมเป็นนักรบเดินทางข้ามเวลาไปลงสมรภูมิรบในปี 2051 กับภารกิจที่เขาก็ไม่คิดว่าจะมีโอกาสรอดชีวิตกลับมาได้หรือไม่


และเมื่อเดินทางไปที่นั่นเขาได้พบกับนักวิทยาศาสตร์หญิงผู้เก่งกาจ กำลังหาวิธีเพื่อยั้งยั้งเจ้าสัตว์ร้ายและปกป้องโลก ที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายของเผ่าพันธุ์มนุษย์แล้ว


หนังทุนสร้างสูงถึง 200 ล้าน


หนังแอ็กชั่นไซไฟจากค่าย Paramount Pictures ทุนสร้าง 200 ล้านเหรียญที่ Amazon ทุ่มทุนซื้อมาลงในระบบดูหนังฟรีเป็น exclusive amazon prime เจ้าเดียว ซึ่งหลังจากรับชมก็ต้องบอกเลยว่าคุ้มค่ามาก นี่เป็นงานสร้างหนังแอ็กชั่นไซไฟฟอร์มยักษ์ที่ไม่ค่อยมีบ่อยนัก


มีความคล้าย Edge of Tomorrow หนังปี 2014 ของทอมครูสที่เล่นกับเรื่องลูปเวลาในช่วงเอเลี่ยนบุกถล่มโลก แต่เรื่องนี้คือการย้อนเวลามาจากอนาคต แล้วก็บู๊ถล่มเอเลี่ยนในแบบเดียวกัน พร้อมยังคงมีปมเรื่องเส้นเวลาเป็นกุญแจสำคัญในการจบสงครามครั้งนี้เหมือนกันอีกด้วย


อาจจะเรียกว่าได้แรงบันดาลใจมาก็ได้ เพราะโครงเรื่องเอเลี่ยนถล่มโลกยับแล้วมีตัวเอกเป็นกุญแจหยุดยั้งสงครามเหมือนกันมากจริงๆ แต่ว่าพอดูในรายละเอียดของเรื่อง แม้พล็อตเรื่องย่อจะดูโหลๆ แบบใครอ่านก็เดาได้


แต่เนื้อเรื่องจริงๆ เมื่อเริ่มสตาร์ทจากจุดตอนแรกที่เปิดมาเพียงไม่กี่นาทีก็มีเหตุการณ์ที่ทหารจากอนาคตย้อนเวลามาปรากฎต่อสายตาชาวโลก ผ่านการถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก จนทำให้ทั่วโลกต้องหยุดทุกอย่างและหันมาร่วมใจเกณฑ์ทหารไปรบในสงครามแห่งอนาคต


แต่เรื่องกลับไม่ได้ให้พระเอกต้องกระเหี้ยนกระหือไปรบในทันทีอย่างที่คิด แม้จะมีเกริ่นนำแล้วว่าเขาคือผู้นำอดีตทหารผ่านศึกอิรักที่มีฝีมือเลยก็ตาม


การดำเนินเรื่อง


ช่วงครึ่งชั่วโมงแรกเนื้อเรื่องกลับเลือกปูพื้นความสัมพันธ์ครอบครัวพระเอกกับลูกสาว “มูริ” ที่เธอเป็นเด็กวิทย์ตัวน้อยที่รู้ว่าพ่อต้องจากไป กับอีกเรื่องคือพ่อของแดน ที่แดนเองไม่เคยเอ่ยถึงให้ลูกรู้ว่ามีปู่คนนี้อยู่

โดยที่พ่อของแดนเป็นวิศวะที่ต่อต้านรัฐบาล เลือกเฟดตัวเองออกมาใช้ชีวิตลับๆ ซึ่งการปูเรื่องไปที่สองคนนี้เป็นพิเศษทำให้คนดูรู้เลยว่า หนังเรื่องนี้มีอะไรมากกว่าฉากแอ็กชั่นยิงถล่มเอเลี่ยนแน่ๆ


นอกจากนี้ในช่วงแรกเรื่องยังพยายามจำลองความเป็นไปได้ของสถานการณ์จริงถ้าเกิดเหตุแบบนี้ขึ้นมา UN จะเป็นยังไง อเมริกาและประเทศอื่นๆ จะมีท่าทียังไง สังคมที่จู่ๆ มีคนถูกส่งไปตายอย่างสิ้นหวังเรื่อยๆ จะเกิดอะไร (ในเรื่องคือผ่านมา 1 ปีแล้วจากจุดแรก)


ซึ่งก็คือการจำลองช่วงยุคสงครามจริงๆ เหมือนสมัยสงครามเวียดนามที่ประชาชนรู้สึกว่ารัฐบาลส่งคนหนุ่มสาวไปตายในสงครามที่ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง ในกรณีของเรื่องนี้ก็คือสงครามในอนาคตอีก 30 ปีที่ยังมาไม่ถึง


แม้จะมีข้ออ้างว่าสู้เพื่ออนาคตลูกหลานของตัวเอง แต่สังคมในปัจจุบันกลับใกล้ล่มสลายก่อนเวลาที่เอเลี่ยนจะมาบุกโลก ซึ่งเรื่องนี้สะท้อนไปถึงนักศึกษาในชั้นเรียนของแดนเองที่หมดหวัง


ไม่มีใครอยากเรียนต่ออีกแล้วเพราะรู้ว่าโลกในอนาคตใกล้ดับสูญ ซึ่งพาร์ทเสริมเหล่านี้เองที่หนังสอดแทรกไว้ในช่วงแรกแบบมีนัยยะสำคัญ และจะนำมันกลับมาใช้ในช่วงองค์สุดท้ายของเรื่องอีกครั้ง


แม้หนังจะใช้เวลาปูหลายอย่างนานถึงเกือบครึ่งชั่วโมงก่อนจะข้ามเวลาไปอนาคต แต่พอเข้าเรื่องส่วนนี้ตัวเรื่องก็จุดติดเดินเครื่องแบบแทบไม่แตะเบรค เข้าสู่โลกช่วงหายนะท้ายสงครามเอเลี่ยนทันที แต่ก็ยังพยายามปิดบังโฉมหน้าเอเลี่ยนในเรื่องไว้อีกสักพัก


ซึ่งตั้งแต่แรกเริ่มก็ไม่มีหนังออนไลน์ ฉากไหนให้เห็นตัวจะๆ เลย (มีแต่ไกลลิบๆ) ซึ่งจุดนี้ถูกอธิบายเหตุผลไว้ในช่วงแรกว่า ถ้าสังคมในปัจจุบันได้เห็นเจ้านี่จะไม่มีใครยอมเป็นทหารเกณฑ์มารบแน่ๆ

ซึ่งการปิดบังหน้าเอเลี่ยนก็ทำให้คนดูเองรู้สึกอึดอัดกับการเห็นทีละนิดๆ ว่ามันเป็นตัวอะไรกันแน่ แล้วจะร้ายกาจขนาดถล่มโลกแบบนี้ได้จริงๆ หรือ ซึ่งพอตัวเรื่องเปิดให้เห็นเราก็เข้าใจในทันทีว่า เอเลี่ยนในเรื่องนี้โหดจริงๆ ในระดับเดียวกับมิมิค Edge of Tomorrow


แต่มาในชื่อ White Spike (ไวท์สไปก์ เดือยแหลมสีขาว ชื่อมาจากตัวเอเลี่ยนในเรื่องยิงเดือยแหลมมาเป็นอาวุธระยะไกลได้) และก็มาเป็นฝูงนรกมหาศาลแบบเดียวกัน (ให้ความรู้สึกเหมือนคลื่นซอมบี้ world war z ในบางฉากอีกด้วย)


ด้านฉากแอ็กชั่น


ซึ่งพอเรื่องเผยให้เห็นเอเลี่ยนนี้แล้วก็ได้เวลาจัดเต็มฉากแอ็กชั่นระดับหนังบล็อกบัสเตอร์กันจริงๆ ในชั่วโมงแรก แอ็กชั่นที่เรียกว่าลุ้นต่อเนื่องกันขนาดลืมหายใจได้เลย แถมยังแค่ครึ่งเรื่อง ฉากแอ็กชั่นหลังจากนี้ก็มีตามมาติดๆ มีไปบุกรังเอเลี่ยนในป่า


มีฉากฝูงเอเลี่ยนมารุมถล่มฐานที่ตั้งเครื่องย้อนเวลาในทะเล ซึ่งแต่ละฉากจัดเต็มกันในระดับพีคแล้วพีคอีกไม่มีหยุด โดยมีความโหดเลือดสาด ตัวขาด ชิ้นส่วนอวัยวะมนุษย์หลุดว่อนกันตลอด แต่ก็ไม่อุจาดเพราะแค่เห็นแวบๆ แค่นั้น


มีปมดราม่า


ในระหว่างที่ฉากแอ็กชั่นใส่กันมาตูมๆ แบบไม่ยั้ง ตัวเรื่องก็มีช่วงคั่นพักสั้นๆ เป็นดราม่าของพระเอกกับผู้พันทหารหญิงที่นำรบในครั้งนี้ และก็เกี่ยวกับปมเส้นเวลาของเรื่องที่จะเป็นกุญแจสำคัญหยุดยั้งสงคราม ซึ่งคนดูคงคาดเดาได้บ้าง


เพราะพล็อตแบบนี้ก็ไม่ได้แปลกใหม่ซะทีเดียว แต่ในความโหลของพล็อตตรงนี้สิ่งที่ดีๆ ก็คือการที่เรื่องผูกปมเคลียร์ปมทุกอย่างได้หมดจรดทุกรายละเอียด ตั้งแต่ที่มาของเอเลี่ยนว่ามาจากไหน การหยุดยั้งสงครามนี้ต้องทำอย่างไร


การเดินทางข้ามเวลาของพระเอกใช่เรื่องบังเอิญหรือไม่ รวมถึงปมดราม่าครอบครัวของพระเอกที่คริสก็เล่นได้ดีกับลูกสาวตัวน้อย ไปจนถึงตัวเพื่อนร่วมทีมที่เป็นบทสมทบช่วงตอนรบก็ยังนำใช้เป็นทีมสำคัญที่จะส่งไปถึงองค์สุดท้ายของเรื่อง


ที่ต้องบอกเลยว่า ใครที่คิดว่าเรื่องนี้จบลงในยุคอนาคตนี่ไม่ใช่เลย เพราะหนังเรื่องนี้มีช่วงจบ 2 ก็อก อนาคตกับปัจจุบัน ที่ตัวเรื่องในองค์สุดท้ายคือการกลับมาแก้ไขปัญหาในสังคมที่ใกล้ล่มสลายก่อนเอเลี่ยนบุกด้วยเช่นกัน


ซึ่งตัวเรื่องแม้จะสเกลแอ็กชั่นเล็กลงจากในอนาคต แต่ว่าก็เป็นความระทึกอีกแนวในแบบเอเลี่ยน 2 หรือแอบคล้ายๆ The Thing (ไอ้ตัวเขมือบโลก) อยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นความสนุกมันส์ปิดท้ายเรื่องไปอีกแบบ ได้ไม่แพ้ฉากฝูงเอเลี่ยนถล่มในอนาคตเลย

รีวิว Tomorrow War

จุดด้อย


ตัวเรื่องต้องบอกว่าโคตรมันส์และดูเพลินสนุกมากๆ (จนแอบรู้สึกเสียดายที่ไม่ได้ลงโรงให้คนดูในวงกว้างมากกว่านี้) บอกตรงๆ ว่าถ้าให้คิดข้อเสียหรือจุดด้อยของเรื่องหลักๆ คงมีแค่ การที่เรื่องมีความคล้ายหนังดังหลายๆ เรื่องแบบหยิบยืมนั่นนี่มาผสมกันเท่านั้น


จนดูแอบโหลแล้วก็เดาเรื่องได้ไม่ยาก ซึ่งถ้าใครได้ดู Edge of Tomorrow ก็คงรู้สึกได้เลยถึงความเหมือน แต่ก็ต้องบอกว่าถ้าชอบ Edge แล้วรอภาคสองอยู่ เรื่องนี้ก็คือทดแทนกันได้เลย


อีกจุดที่รองลงมาคือพวกเหตุผลกับทฤษฎีเส้นเวลาต่างๆ อาจจะไม่ได้เน้นนัก คือตัวเรื่องก็พยายามอธิบายหลายๆ อย่างให้มีเหตุผล แต่มันก็ยังพอช่องโหว่ให้ถกเถียงกันอยู่บ้าง รวมถึงสถานการณ์ในช่วงท้ายเรื่องที่แอบจิกกัดอเมริกากับรัสเซียรวมถึง UN ด้วย


มันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือไปหน่อยว่าประเทศมหาอำนาจของโลกในช่วงเวลาคับขันระดับสิ้นโลกนี้ยังดูงี่เง่าเกินไปหน่อยเท่านั้น แต่ถ้าไม่คิดอะไรมาก มันก็คือเรื่องแบบเดิมๆ ที่หนังแนววันสิ้นโลกใช้กัน ที่ให้ตัวเอกได้โอกาสช่วยโลกด้วยตัวเองมากกว่าไปพึ่งรัฐบาลเหล่านี้


โดยรวม


ในภาพรวมแล้ว The Tomorrow War เป็นหนังแอคชั่นไซไฟไล่ล่าเอเลี่ยนที่มาพร้อมกับสูตรสำเร็จความฮิตได้ไม่ยาก หนังไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่เท่าไหร่ สามารถดูได้เพลินและมันส์สะใจไปกับท้องเรื่องได้ มีฉากแอคชั่นใหญ่ๆ ใส่เข้ามาค่อนข้างจุใจ


เสริมด้วยประเด็นดราม่าพ่อลูกซาบซึ้งที่แอบทำน้ำตาซึมได้อยู่ นี่จึงเป็นสูตรง่ายๆ ที่จะทำให้เป็นหนังฮิต เนื้อหาและตัวละครก็ไม่มีอะไรซับซ้อน คือดูเอามันส์แค่นั้น...คนดูก็พอใจแล้ว


สรุป


เอาเป็นว่านี่เป็นหนังบ็อกซ์บัสเตอร์ที่แอบเสียดายอยู่นิดหน่อย ตรงที่หนังไม่มีโอกาสได้เข้าฉายในโรงภาพยนตร์ ทั้งที่งานสร้างและสเกลของหนังสร้างมาเพื่อฉายในโรงแท้ๆ มีหลายฉากแอคชั่นที่ดีไซน์ออกมาได้ค่อนข้างน่าตื่นตาตื่นใจ


และคงจะฟินสะใจกว่านี้หากได้ดูอยู่บนจอใหญ่ๆ ในโรงไอแม็กซ์อะไรทำนองนั้น พร้อมกับระบบเสียงสเตอริโอที่ควรได้ Dolby Atmos มาส่วนเร้าอารมณ์ เสียงระเบิดตู้มตามจะเพิ่มความฟินได้มากกว่านั่งดูบนจอมากๆ

ดู 4 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

It Chapter Two

The Nun

Don’t Listen

Comments


bottom of page