รีวิว The Yinyang Master - หยิน หยาง ศึกมหาเวท
หลังจากปล่อย หยินหยางศึกมหาเวทย์สะท้านพิภพ: สู่ฝันอมตะ ที่ชูโรงเรื่องความอลังการตระการออกมาเรียกความฮือฮาจากแฟน ๆ อินเตอร์ไปหมาด ๆ ด้อมพี่จีนก็ไม่รอช้าปล่อยภาพยนตร์เรื่องใหม่อย่าง หยินหยางศึกมหาเวท ออกมาตอกย้ำความปังโกยตังกลับบ้านกันอีกแล้ว โดยเรื่องนี้ถูกดัดแปลงมาจากเกมส์มือถือ "Onmyoji" รีวิว The Yinyang Master
เรื่องย่อ
เรื่องราวเกี่ยวกับความขัดแย้งระหว่างมนุษย์และปีศาจ ซึ่งในโลกยุคโบราณ เคยมีราชาปีศาจเซียงหลิ่ว ออกอาละวาด แต่สุดท้ายถูกจัดการและผนึกไว้โดยปรมาจารย์หยินหยางที่ใช้กระบี่ถูซาน แต่ก็ทำให้มนุษย์และปีศาจที่เคยอาศัยอยู่ร่วมกันได้ตัดขาดจากกัน พวกปีศาจจะอาศัยอยู่ในเมืองของเหล่าปีศาจ แต่หากหลุดออกมาโลกมนุษย์ก็จะถูกมนุษย์จัดการ
กระทั่งเกิดเหตุการณ์ที่ ฉิงหมิง (แสดงโดย เฉินคุน) ลูกครึ่งมนุษย์และปีศาจ ศิษย์ของสำนักหยินหยาง ซึ่งถูกเข้าใจผิดว่าเป็นคนทำลายผนึกกักขังมาร จึงต้องหนีออกมา แล้วใช้ชีวิตร่วมกับเหลาปีศาจที่ไร้ที่พึ่งแล้วเขารับมาเป็นบริวาร
เขาได้กลับมาพบกับคนรักเก่าในอดีตคือ ไป๋หนี่ (แสดงโดย โจวซวิ่น) และได้พบกับผู้คนมากมาย เช่น ป๋อหย่า หัวหน้าองครักษ์ที่ต้องการตามล่าเขา และ เฉินเล่อ หญิงสาวที่ต้องการมาเป็นบริวาร ฉิงหมิงยังต้องตามหาปีศาจที่ทำให้ชีวิตของเขาพลิกผันเพื่อแก้แค้น และสะสางความบริสุทธิ์ของตนเองด้วย
ปรมาจารย์หยินหยาง ที่ไม่ใช่ภาคต่อจากภาค Dream of Eternity เรียกง่ายๆ ว่าไม่มีความเกี่ยวข้องกันเลย แต่เวอร์ชั่นนี้เป็นการรีเมคจากเกมมือถือแนว RPG “องเมียวจิ” (Onmyoji) ซึ่งได้นักแสดงมากฝีมืออย่าง เฉินคุน และ โจวซวิ่น ร่วมแสดงนำ
เวอร์ชั่นนี้จัดเต็มด้าน CG กราฟฟิก เน้นสีสันฉูดฉาย ในเรื่องเต็มไปด้วยเหล่าปีศาจน่ารักน่าชัง เดินเรื่องกระชับ ฉับไว และไม่เน้นขายความจิ้นวายแบบอีกเวอร์ชั่นของ Netflix ก่อนหน้านี้ แต่นี่เป็นแนวแอ็คชั่นแฟนตาซีเต็มตัว ที่พอดูแล้วได้ฟีลลิ่งเหมือนกำลังย้อนยุคไปดูหนังจีนกำลังภายในจากยุค 90-2000s แอ็คชั่นอลังการ มีฉากตลกแทรกเป็นระยะด้วย
เนื้อเรื่อง
เมื่อผานกู่เบิกฟ้ามนุษย์และปีศาจอาศัยอยู่ร่วมกันอย่างสงบสุขแต่ทว่าวันหนึ่งปีศาจชั่วร้าย เซี่ยงหลิ่ว อสรพิษเก้าหัวตัวนี้ตั้งตนเป็นราชาปีศาจสะกดปีศาจตนอื่น ๆ ให้ทำลายล้างแดนมนุษย์ แต่กระนั้นปรมาจารย์หยินหยางก็สามารถปกป้องชาวประชาเอาไว้ได้
โดยสร้างอาวุธอันทรงพลังขึ้นมา ‘กระบี่ถูซาน’ เหล่าปรมาจารย์สังหารเซี่ยงหลิ่วและขับไล่ปีศาจทุกตน นับแต่นั้นมามนุษย์และปีศาจจึงมิอาจอยู่ร่วมแผ่นดินกันได้อีกต่างฝ่ายต่างอยู่ในดินแดนของตน
หลายร้อยปีให้หลัง ฉิงหมิง ปรมาจารย์หนุ่มผู้มีสายเลือดครึ่งปีศาจถูกตราหน้าว่าเป็นผู้ทรยศสังหารศิษย์พี่ศิษย์น้องร่วมสำนักเพื่อโขมย ศิลาเกล็ด ที่ผนึกจิตวิญญาณของปีศาจเซี่ยงหลิ่วเอาไว้เขาถูกบีบคั้นให้หนีไปเร้นกายในที่ลับคนรายล้อมไปด้วยเหล่าบริวาร
7 ปีให้หลัง ฉิงหมิง สัมผัสได้ถึงพลังของอสรพิษเซี่ยงหลิ่วอีกครั้งมันพยายามเกลี้ยกล่อมให้ฉิงหมิงยอมสืบทอดสายเลือดปีศาจของมันเสีย นั่นทำให้เขาต้องเดินทางไปยังสถานที่แห่งหนึ่งเพื่อปลดผนึก กระบี่ถูซาน
ในขณะเดียวกันเขาก็ถูกสำนักหยินหยางตามล่าตัวอีกคราและถูกใส่ความว่าโขมยศิลาเกล็ดเพื่อปลุกวิญญาณ เซี่ยงหลิ่ว สุดท้ายแล้วฉิงหมิงจะพิสูจน์ความจริงได้หรือไม่? และใครคือผู้อยู่เบื้องหลังแผนร้ายนี้กันแน่?
ตัวละคร
ฉิงหมิง (อาเบะ โนะ เซย์เมย์)
ปรมาจารย์หยินหยาง ลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และปีศาจ จากเหตุการณ์ในอดีตทำให้เขาต้องใช้ชีวิตหลบซ่อนในแดนปีศาจและอยู่ร่วมกับเหล่าปีศาจที่เป็นบริวาร
ไป๋หนี่ (บิคุนิ)
หัวหน้าสำนักของเหล่าปรมาจารย์หยินหยางคนปัจจุบัน เป็นคนรักเก่าของฉิงหมิง แล้วยังเคยทำพันธะสัญญานายบ่าวไว้ด้วยกัน
ป๋อหย่า (ฮิโรมาสะ)
หัวหน้ากองครักษ์ที่ต้องการตามจับตัวฉิงหมิง แต่สุดท้ายกลับก่อเกิดมิตรภาพระหว่างกันขึ้น
เฉินเล่อ (คางุระ)
เด็กสาวที่เคยได้รับบุญคุณจากฉิงหมิงในอดีต จึงออกตามหาเพื่อหวังจะเป็นข้ารับใช้ ได้ร่วมทางกับป๋อหย่าโดยบังเอิญ
การดำเนินเรื่อง
ต้องอธิบายก่อนว่า The Yin Yang Master เวอร์ชั่นนี้ ไม่ใช่ภาคต่อจากภาค Dream of Eternity ที่เคยฉายใน Netflix มาก่อนหน้านี้ ทั้งสองภาคไม่มีความเกี่ยวข้องกัน เป็นคนละเรื่องกันโดยสิ้นเชิง
ภาค Dream of Eternity รีเมคจากดูหนังออนไลน์ต้นฉบับนิยาย Onmyoji แล้วใส่ความวายลงไปในเรื่องเพื่อให้เป็นจุดขาย
แต่สำหรับภาคนี้ เป็นการรีเมคจากเกมมือถือ Onmyoji ซึ่งเป็นแนว RPG ไม่มีความจิ้นวาย แต่เป็นแนวแอ็คชั่นแฟนตาซี ดราม่า และแอบแทรกตลกไร้สาระเข้ามา แบบจัดเต็มกันเลย
สำหรับต้นฉบับนิยาย เป็นผลงานคลาสสิกของญี่ปุ่น เขียนโดย บาคุ ยูเมะมาคุระ ตีพิมพ์ครั้งแรกในปี ค.ศ. 1986 เล่าเรื่องราวขององเมียวจิในตำนานที่ชื่อ อาเบะ โนะ เซย์เมย์ ซึ่งในฉบับจีนทั้งสองเวอร์ชั่นใช้คำว่าปรมาจารย์จอมเวทย์หยินหยาง
ตามตำนานแล้ว เซย์เมย์ เป็นองเมียวจิที่มีตัวตนจริง และมีชื่อเสียงโด่งดังมากในสมัยเฮอัน มีความสามารถในด้านวิชาเวทย์มนต์และการควบคุมเหล่าปีศาจและภูติรับใช้มาเป็นบริวารของตนเอง แล้วยังเชื่อว่าเขาเป็นลูกครึ่งระหว่างมนุษย์และปีศาจจิ้งจอกด้วย
เรื่องราวขององเมียวจิและเซย์เมย์นั้นได้รับความนิยมทั่วเอเชีย สร้างอิทธิพลมากมายในด้านวรรณกรรม ภาพยนตร์ สื่อบันเทิงต่างๆ อนิเมะ ซีรีส์ ไปจนถึงเกมออนไลน์ ทางจีนเองก็ซื้อลิขสิทธิ์เอามาสร้างเป็นภาพยนตร์ทั้งสองเวอร์ชั่นที่เราเห็นกัน
จุดที่ชอบ
จุดที่ผู้เขียนรู้สึกชอบก็คือ การสอดแทรกมุขตลก เฮฮาบ้าบอ เข้ามาในระหว่างฉากต่อสู้ และการเซตติ้งฉากแนวชุลมุนวุ่นวาย ที่ให้เหล่าตัวเอกต้องหาทางแก้ไขสถานการณ์ เรียกว่าใครชอบหนังจีนแนวบู๊ในยุคก่อนจะชอบเรื่องนี้ไม่ยากเลยครับ
ตัวหนังยังมีการเล่นกับประเด็นของ “คนนอก” ที่ถูกกีดกันจากสังคม ซึ่งในเรื่องนี้ก็นำเสนอออกมาเป็นเหล่าปีศาจ ที่ถูกกีดกันและรังเกียจจากมนุษย์ แถมในบรรดาปีศาจเหล่านั้น ก็ยังมีปีศาจอีกกลุ่มที่ถูกทอดทิ้งเช่นกัน ตัวเอกอย่างฉิงหมิง ซึ่งเป็นคนที่อยู่กึ่งกลางระหว่างมนุษย์และปีศาจจึงเลือกที่จะสร้าง “บ้าน” ให้กับพวกเขาเหล่านั้นได้พักพิง
จุดเด่นอีกเรื่องคือ การแสดง ที่ต้องยอมรับว่า เฉินคุน และ โจวซวิ่น เป็นสองนักแสดงมากฝีมืออยู่แล้ว ซึ่งเรื่องนี้พวกเขาก็ไม่ทำให้ผิดหวังเลย ทั้งเคมีในการเข้าฉากและการแสดงอารมณ์ต่างๆ ในขณะที่นักแสดงบทรองๆคนอื่นก็ทำได้ดีไม่แพ้กัน แม้ว่าตัวละครรองแต่ละคนจะไม่ได้มีการปูพื้นเพมามากนัก
อีกจุดที่ผู้เขียนชอบก็คือ การใส่บทบาทของเหล่าปีศาจเข้ามาในเรื่องราวมากมายหลายตัว ปีศาจในเรื่องซีรี่ย์ Netflixก็ดีไซน์ออกมาดูแล้วน่ารักน่าชังมากกว่าจะน่ากลัว ดูแล้วลุ้นเอาใจช่วยให้พวกปีศาจหลายตัวรอดกันในตอนจบ
จุดด้อย
สำหรับจุดด้อยของเรื่องก็มีอยู่ไม่น้อยครับ เนื่องจากตัวเรื่องมีเนื้อหาและรายละเอียดมาก ขนาดตัวหนังมีเวลาถึง 2 ชั่วโมง แต่ดูเหมือนว่าจะยังไม่พอด้วยซ้ำ ทำให้การเดินเรื่องค่อนข้างเร็วจัด ตัวละครหลายคนถูกโยนเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องราวในแบบที่ไม่มีเวลาปูบทให้มากนัก แต่เท่าที่ทำไว้ในเรื่องก็ถือว่าดีในระดับหนึ่งเลย
อีกจุดที่ยังดูขัดๆ ก็คือ CG ที่บางฉากดูเฟคและลอยไปนิด แต่ก็พอเข้าใจได้ว่าเรื่องนี้ทุ่มงบให้กับด้านนี้ตลอดเรื่อง มันจะมีหลุดบ้างก็ไม่แปลกครับ ส่วนตัวเนื้อเรื่องก็มีหักมุมบ้าง ตามสไตล์ของหนังจีนแนวนี้ แต่ก็ถือว่าเดาตัวร้ายได้ไม่ยากมาก ถ้าดูแนวนี้บ่อยๆ
โดยรวม
ซึ่งในเวอร์ชั่นนี้ ต้องยอมรับเลยว่า นี่แหละคือ ปรมาจารย์หยินหยาง ที่ผู้เขียนคาดหวังว่าจะได้รับชม แถมสร้างออกมาได้ดีกว่าที่คิด ได้กลิ่นอายของหนังจีนกำลังภายในและแฟนตาซีจากยุค 90 และต้นยุค 2000 ที่เต็มไปด้วยฉากแอ็คชั่น CG กราฟฟิก ที่อาจจะดูลอยๆและเฟคไปบ้างในบางจุด
แต่ในภาพรวมแล้วก็ถือว่าทำได้ดีในระดับมาตรฐาน อีกทั้งยังเต็มไปด้วยสีสันฉูดฉาด ไม่ได้ทำให้เรื่องออกมาโทนมืดหม่นเกินไป แม้ว่าเอาเข้าจริงตัวเรื่องมันแอบดาร์กและดราม่าพอสมควร สำหรับฉากแอ็กชั่นถือว่าจัดเข้ามาแทบจะตลอดเรื่อง เรียกว่ามีช่วงเวลาให้พักจากฉากแอ็คชั่นพอเพลาๆ แล้วก็กลับมาลุยกันใหม่
สรุป
สำหรับบทสรุปของหนังเรื่องนี้ก็ยังสามารถสร้างภาคต่อหรือต่อยอดได้อีกเยอะ ถ้าจะสร้างครับ แล้วหากจะให้เปรียบเทียบกับเวอร์ชั่น Dream of Eternity ต้องยอมรับว่าส่วนตัวแล้วผู้เขียนชอบเวอร์ชั่นนี้มากกว่า เพราะให้ความสำคัญกับเหล่าตัวละครตัวเล็กตัวน้อยและเหล่าปีศาจต่างๆในเรื่องมากกว่าด้วยครับ ที่สำคัญคือมันได้กลิ่นอายของหนังจีนยุคก่อนด้วย
Comments