top of page
ค้นหา
รูปภาพนักเขียนCharcoal Original

The Wandering Earth


ดูหนังฟรี

รีวิว The Wandering Earth - ปฏิบัติการฝ่าสุริยะ

หนังไซไฟของจีนระดับบล็อกบัสเตอร์เรื่องแรก ซึ่งสร้างปรากฏการณ์เป็นหนังยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในประเทศจีนขึ้นอันดับ 2 เป็นที่เรียบร้อยด้วยรายได้ประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐภายใน 2 สัปดาห์ที่เข้าฉายช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา (และ Endgame น่าจะเข้ามาเบียดในไม่ช้า) เรียกว่ากระแสดีจนเน็ตฟลิกซ์ต้องซื้อสิทธิ์มาฉายบนระบบของตัวเอง และก็เป็นโอกาสดีที่ชาวไทยเราจะได้ชมหนังสุดยิ่งใหญ่เรื่องนี้ในแบบทั้งเสียงภาษาจีน ภาษอังกฤษ และภาษาไทย รีวิว The Wandering Earth


เรื่องย่อ


ในอนาคตเมื่อดวงอาทิตย์เข้าสู่สภาวะหมดอายุ ชาวโลกจึงร่วมมือกันเพื่อผลักดันโปรเจกต์หาบ้านหลังใหม่ที่ห่างออกไป 4.2 ล้านปีแสง ในชื่อที่ว่า Wandering Earth ซึ่งหมายถึง ดาวเคราะห์พเนจร เรื่องราวเล่าผ่านครอบครัวของนักบินอวกาศชาวจีนที่ต้องออกไปปฏิบัติภารกิจนำทางให้ดาวเคราะห์โลก


โดยทิ้งลูกชายไว้กับปู่ หลังจากผ่านไป 17 ปีที่เขาจะได้เจอลูก กลับกลายเป็นว่าภารกิจกลับติดปัญหาเมื่อโลกกำลังจะพุ่งชนดาวพฤหัสบดี นี่จึงกลายเป็นภารกิจกู้โลกของพ่อบนอวกาศและลูกชายที่อยู่บนโลก

หนังไซไฟของจีนระดับบล็อกบัสเตอร์เรื่องแรก ซึ่งสร้างปรากฏการณ์เป็นหนังยิ่งใหญ่ที่สุดที่ทำเงินสูงสุดตลอดกาลในประเทศจีนขึ้นอันดับ 2 เป็นที่เรียบร้อยด้วยรายได้ประมาณ 700 ล้านเหรียญสหรัฐภายใน 2 สัปดาห์ที่เข้าฉายช่วงตรุษจีนที่ผ่านมา (และ Endgame น่าจะเข้ามาเบียดในไม่ช้า)


 

เรียกว่ากระแสดีจนเน็ตฟลิกซ์ต้องซื้อสิทธิ์มาฉายบนระบบของตัวเอง และก็เป็นโอกาสดีที่ชาวไทยเราจะได้ชมหนังสุดยิ่งใหญ่เรื่องนี้ในแบบทั้งเสียงภาษาจีน ภาษอังกฤษ และภาษาไทย


หนังดัดแปลงจากนิยายของนักเขียนชาวจีนนามว่า หลิวฉือซิน ที่เขียนนิยายแนววิทยาศาสตร์มาแล้วมากมาย ทั้งยังเป็นเจ้าของรางวัลระดับโลกอย่าง Hugo Awards ที่มอบให้กับนิยายแนวไซไฟยอดเยี่ยมจากหนังสือไตรภาคชุด The Remembrance of Earth’s Past


ซึ่งมีฉบับแปลไทยในชื่อ ดาวซานถี่ อุบัติการณ์สงครามล้างโลก ด้วย ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันระดับหนึ่งว่าเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์ในหนังที่ดัดแปลงจากเรื่องสั้นปี 2000 ชื่อ The Wandering Earth (流浪地球) นี้ ย่่อมมีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์รองรับด้วยแน่นอน


แต่กระนั้นพอพี่จีนทำอะไรแล้ว มันย่อมไม่ใช่ธรรมดาอย่างแน่นอน จากแนวคิดตั้งต้นของหลิวฉือซินที่ว่า ดาวฤกษ์นั้นมีอายุไข และดวงอาทิตย์เองก็เช่นกัน หากเมื่อถึงช่วงเวลานั้นจริง โลกเราจะอยู่รอดอย่างไร นำมาสู่พลอตสุดทะเยอทะยานที่ฟากฝั่งตะวันตกคงไม่เคยคิดมาก่อน


นั่นคือการเปลี่ยนโลกให้เป็นยานอวกาศยักษ์ ขับเคลื่อนด้วยพลังไอพ่นจากการเผาหินขนาดยักษ์ เพื่อออกจากวงโคจรของระบบสุริยะไปหาดวงอาทิตย์ดวงใหม่ที่ไกลออกไป 4.2 ล้านปีแสง ด้วยโปรเจกต์ ดาวเคราะห์โลกพเนจร ที่ต้องดำเนินการกันยาวนานหลายช่วงอายุคนทีเดียว


เนื้อเรื่อง


เรื่องราวก็อยู่กับสูตรสำเร็จแนวดราม่าครอบครัวของนักบินอวกาศชาวจีนที่ต้องรับภารกิจออกไปนำทางการโคจรล่วงหน้าให้กับโลก เพื่อแลกสิทธิ์ที่จะให้พ่อกับลูกชายของตนเองได้เข้าอยุ่ในเมืองใต้ดินที่ปลอดภัย โดยไม่ต้องรอสุ่ม ซึ่งประชากรที่ไม่ได้รับสิทธิ์ก็อยู่บนผิวโลกต่อไป และแน่นอนว่าต้องตายในไม่ช้าด้วยสภาพอากาศที่เปลี่ยนไปหลังจากไม่มีดวงอาทิตย์


เขาให้สัญญากับลูกชายไว้ว่า เมื่อลูกชายมองเห็นดาวพฤหัสบดีด้วยตาเปล่า เมื่อนั้นพ่อจะกลับมาหา ซึ่งนั่นก็คือเวลาราว 17 ปีที่โลกจะเดินทางไปถึงดาวพฤหัสบดีเพื่อใช้แรงโน้มถ่วงเหวี่ยงโลกให้เดินทางได้ไกลออกไปด้วย


(แนวคิดแบบกระสวยที่ใช้แรงโน้มถ่วงโลกเหวี่ยงเพื่อเดินทางไปดวงจันทร์) และก็ตามสูตรลูกชายโตมากลายเป็นเด็กมีปม ดื้อและต่อต้านพ่อที่ทิ้งเขาไป และก็ตามสูตรดูหนังฟรีต่อมาว่าลูกชายจับพลัดจับผลูติดห้อยไปกับภารกิจของหน่วยกู้ภัยของจีนที่ต้องไปซ่อมฐานแรงขับด้วยอุปกรณ์แกนเบา


ด้วยว่าฐานแรงขับเกิดเสียหายเมื่อเจอแรงโน้มถ่วงมหาศาลของดาวพฤหัสบดี อันจะทำให้โลกไม่มีแรงหนีพอที่จะเหวี่ยงตัวและจะกลายเป็นพุ่งชนดาวพฤหัสบดีแทน


ส่วนคนพ่อที่อยู่บนสถานอวกาศก็ทำได้แต่เพียงรับรู้เฝ้าดู เพราะไม่ว่าจะทำอะไรก็จะถูกเอไอที่ควบคุมยานขัดขวางด้วยตรรกะความสมเหตุสมผลไปทั้งหมด (อารมณ์เอไอนี่เหมือนญาติห่าง ๆ จากเจ้า HAL เอไอในเรื่อง 2001: A Space Odyssey) และก็ตามสูตรอีกนั่นล่ะว่าหนังต้องรวมพลังมนุษยชาติเพื่อแก้วิกฤตโดยมีคนจีนเป็นหัวเรือใหญ่สำคัญ


แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้บอกว่าเป็นรัฐบาลจีนเลยแบบที่หนังฝั่งฮอลลีวู้ดชอบอวยประธานาธิบดี จริง ๆ ก็นึกภาพแบบท่านสีจิ้นผิงมาพูดโน้มน้าวชาวโลกไม่ออกเหมือนกันนะ ก็นับว่าหนังสร้างความแตกต่างได้อยู่เหมือนกันโดยเฉพาะที่ฉากสำคัญย้ายมาเกิดที่อินโดนีเซียด้วย


พล็อตของเรื่อง


พล็อตหนังต้องบอกว่าแปลกกว่าหนังไซไฟอื่นๆทีโลกต้องเจอกับภัยคุกคามจากดาวดวงอื่น เนื่องจากว่าถ้าเป็นเรื่องอื่นที่เคยดูมา มนุษย์มักจะพยายามหนีโดยการสร้างยานและหาโลกใหม่ เพื่อความอยู่รอดของเผ่าพันธุ์ แต่ในเรื่องนี้ มนุษย์เลือกที่จะย้ายโลกทั้งใบไปอยู่ในระบบอื่นแทนระบบสุริยะ


มนุษย์จึงทำการสร้างเครื่องยนต์จำนวนมหาศาลบนผิวโลกเพื่อเป็นตัวขับเคลื่อนโลก ให้นึกภาพว่า โลกนี่แหละคือยานอวกาศที่จะใช้ในการหนีไปยังสถานที่ใหม่ และด้วยเหตุนี้มนุษย์จำเป็นต้องย้ายลงไปอยู่ปราการใต้ดิน เวอร์วังดีมั้ยล่ะครับ


แต่หนังมีทฤษฎีรองรับไว้พอสมควรนะครับ ไม่ใช่ว่าคิดพล็อตขึ้นมาแบบสุดโต่งไปเลย ถึงแม้ว่าในความเป็นจริงมันอาจจะทำไม่ได้เลยก็ตาม แต่หนังใหม่ชนโรงมีการให้เหตุผลในหลายส่วนที่คุณอาจจะสงสัยไว้แล้ว


ด้านนักแสดง


บทนักแสดง หนังได้ผู้กำกับหน้าใหม่แต่อายุไม่น้อยอย่าง กวูเฟิง มากำกับ โดยมีดาราดังจากจีนมาแสดงนำทั้ง อู๋จิง, อู๋ม่งต๊ะ และดาราหน้าใหม่ดาวรุ่งอีกหลายคน โดยเฉพาะ ชวีฉูเชียว ที่รับบทนำแทบแบกหนังทั้งเรื่องทีเดียว


โดยรวมผมถือว่าดีเลย แม้ว่าจะมีจุดให้หงุดหงิดอยู่บ้าง แต่หนังก็ไม่ได้โยนดราม่าครอบครัวให้เราต้องเครียดมากเกินไป ให้เราได้ดื่มด่ำกับหายนะที่มนุษย์กำลังจะเจอได้เต็มที่

รีวิว The Wandering Earth

จุดที่ชอบ


สิ่งหนึ่งที่ผมชอบเลยก็คือแนวคิดของหนังที่มนุษยชาติโดยรวมคือผู้ที่จะช่วยกอบกู้โลกในครั้งนี้ ถ้าใครดูจะรู้ว่าหนังไม่ได้อวยจีนว่าเป็นมหาอำนาจ เก่งไปหมด แต่หนังนำเสนอการช่วยกันของทุกฝ่ายทุกประเทศ แต่ที่แน่ๆ อเมริกามีบทบาทน้อยมากในเรื่องนี้


ปฏิบัติการฝ่าสุริยะ กลายเป็นหนังจีนที่ผมชอบและอยากแนะนำให้คนอื่นได้ดู ด้วยโปรดักชั่นที่ขึ้นแท่นไปแข่งกับ Hollywood ได้ รวมถึงการนำเสนอสิ่งใหม่ๆและไม่มีการแฝงแนวคิดอะไรเข้ามา ทั้งศาสนา ความเชื่อ เป็นหนังที่ทุกคนดูได้และสามารถสนุกไปกับมัน


ในแง่ความสนุุกนั้นก็มีจุดที่รู้สึกแปลก ๆ อยู่บ้าง ด้วยหนังสเกลใหญ่มากก็ต้องมีหลุดบ้างเป็นธรรมดา ไม่ว่าจะซีจีบางจุดที่ดูยังเคลื่อนไหวไม่เนียนตา หรือบทบังเอิญที่มีอยู่นิดหน่อย แต่ที่เอ๊ะมาก ๆ ก็คงเป็นชื่อเรื่องที่แปลว่าโลกเดินทางไปอย่างไร้จุดมุ่งหมาย


ซึ่งไม่จริงเพราะหนังบอกอยู่แล้วว่าโลกจะไปหาบ้านใหม่ที่ไหน และอีกเรื่องก็คือแนวคิดเรื่องการดันโลกพุ่งออกไปนี่ล่ะ ที่คิดว่าการที่โลกหยุดหมุนรอบตัวเองมันต้องทำให้เกิดผลที่ผิดหลักการทางวิทยาศาสตร์อะไรสักอย่างแน่ ๆ


แต่ก็ได้แต่เอ๊ะไปกับมันเรื่อย ๆ เพราะถ้าไม่ยอมรับจุดนี้ก็เหมือนจะกลายเป็นดูหนังไม่ได้ทั้งเรื่องนั่นล่ะ เอาเป็นว่าหนังก็ตั้งคำถามชวนให้ถกเถียงในแง่วิทยาศาสตร์กันสนุกดีนะ


โดยรวม


The Wandering Earth ทำให้เราได้เห็นถึงศักยภาพของวงการภาพยนตร์จีน ที่จะกลายมาเป็นแหล่งผลิตหนังคุณภาพให้เราได้ดูกันจากนี้เป็นต้นไป ถึงแม้ว่าเราอาจจะยังไม่ได้เห็นหนังเทียบชั้น The Avenger หรือ Avatar ในเร็ววันนี้ แต่นี่คือจุดเริ่มต้นที่ดี เราจะได้เห็นการแข็งขันที่ดุเดือดขึ้น นั่นหมายถึงคอนเทนต์หรือการนำเสนอที่จะดีขึ้นเมื่อไม่มีการผูกขาดอีกแล้ว


และด้วยยุคนี้ที่เรามี Netflix ทำให้คนดูทั่วโลกสามารถเข้าถึงหนังหรือภาพยนตร์ชุดคุณภาพจากหลายประเทศทั่วทุกมุมโลกได้ง่ายขึ้นเยอะ มันคือยุคทองสำหรับคอหนังและซีรีส์ เราเข้าถึงของคุณภาพในราคาที่ไม่แพงนัก และผู้ผลิตสามารถเข้าถึงกลุ่มคนได้ง่ายกว่าโรงภาพยนตร์ทั่วไป เพราะพวกเขามีโรงหนังขนาดย่อมอยู่ในกระเป๋ายังไงล่ะ


สรุป


หนังคุณภาพ พล็อตอลังการ เทียบชั้น Hollywood ถ้าไม่ดูถือว่าพลาดสำหรับคอหนังไซไฟ โปรดักชั่นระดับฮอลลีวูด พล็อตอลังการ และนักแสดงคุณภาพ แค่นี้ก็เพียงพอแล้ว

ดู 114 ครั้ง0 ความคิดเห็น

โพสต์ล่าสุด

ดูทั้งหมด

It Chapter Two

The Nun

Don’t Listen

Comments


bottom of page