รีวิว The Purge Election Year - คืนอำมหิต ปีเลือกตั้งโหด
สืบต่อเนื่องกันมาเป็นภาคที่สามแล้ว สำหรับหนังที่มีพล็อตแปลกและสุดโต่ง เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ มีความคิดที่จะแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ ในประเทศด้วยการตั้งคืนพิเศษขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดจำนวนประชากร ซึ่งในสองภาคแรกอย่าง ‘The Purge (2013)’ และ ‘The Purge: Anarchy (2014)’ ก็จะกล่าวถึงปีแรกๆ และปีต่อๆ มาของการมีคืนอำมหิต รีวิว The Purge Election Year
เรื่องย่อ
เล่าเหตุการณ์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งการแข่งขันระหว่างผู้ลงสมัครที่ต่างเชื่อมั่นในความสุดโต่งของแต่ละแนวคิด เมื่อฝ่ายหนึ่งอยากจะยกเลิก “คืนล้างบาป” ในขณะที่อีกฝากหรือขั้วอำนาจเก่าอยากจะคงไว้ซึ่งประเพณีดังกล่าว
สืบต่อเนื่องกันมาเป็นภาคที่สามแล้ว สำหรับหนังที่มีพล็อตแปลกและสุดโต่ง เมื่อรัฐบาลสหรัฐฯ มีความคิดที่จะแก้ปัญหาเรื่องต่างๆ ในประเทศด้วยการตั้งคืนพิเศษขึ้นมาโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อลดจำนวนประชากร ซึ่งในสองภาคแรกอย่าง ‘The Purge (2013)’ และ ‘The Purge: Anarchy (2014)’ ก็จะกล่าวถึงปีแรกๆ และปีต่อๆ มาของการมีคืนอำมหิต
แต่ใน ‘The Purge: Election Year’ ที่เป็นภาคที่สาม จะเล่าถึงเรื่องราวเมื่อสหรัฐฯ ผ่านคืนชำระบาปมาเนิ่นนาน 10 กว่าปี พัฒนาการของการฆ่าเพื่อล้างบาปนั้นก็มากขึ้นเป็นเงาตามตัวเรื่องราวในภาคนี้จึงไม่ใช่แค่หนังของการเอาตัวรอดของตัวละครอีกแล้ว…
ถึงแม้หนังจะมี ดันเต บิชอป ตัวละครผิวดำจากภาคแรกมีบทบาทต่อเนื่องมาทุกภาคแต่ก็ไม่ได้เป็นตัวเดินเรื่องสำคัญ ถ้าหากว่าไม่ได้ดูภาค 1 ภาค 2 แล้วมาดูภาคนี้ก็รู้เรื่อง เพียงแค่เข้าใจพล็อตหลักแค่ว่า The Purge คือเหตุการณ์สมมติในสหรัฐ
ที่ปีละ 1 คืนจะอนุญาตให้พลเมืองฆ่ากันตายได้โดยไม่มีความผิดทางกฏหมายเพื่อลดปัญหาอาชญากรรม ภาคนี้โฟกัสไปที่ ชาร์ลี โรน วุฒิสมาชิกหญิงผู้ลงชิงตำแหน่งประธานาธิบดีในปี 2025 เธอยึดแคมเปญหลักว่าถ้าได้ตำแหน่งเธอจะยกเลิกคืนล้างบาปนี้ซะ เหตุจากเธอก็เคยเป็นเหยื่อของความโหดร้ายในคืนล้างบาปเมื่อ 18 ปีก่อน
เนื้อเรื่อง
ลีโอ บาร์นส์ (Frank Grillo) หนุ่มตัวเอกในภาคที่แล้ว มาภาคนี้เขาได้กลายเป็นหัวหน้าหน่วยคุ้มกันวุฒิสมาชิกหญิง ชาร์ลี โรน (Elizabeth Mitchell) ผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ที่ชูประเด็นการต่อต้านและยกเลิกคืนล้างบาป
รัฐบาลสหรัฐฯ ใช้นโยบายนี้มานานหลายปี จนเสียงเรียกร้องไม่เห็นด้วยกับคืนล้างบาปนั้นดังขึ้นเรื่อยๆ และโรนกำลังใกล้จะชนะศึกในไม่ช้า แต่คืนล้างบาปกำลังจะมาถึง และเธอคือเป้าหมายใหญ่ที่จะถูกปลิดชีพในคืนนั้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง หากเธอเลือกจะเผชิญหน้าด้วยการอยู่ในบ้านพักที่มีการคุ้นกันอย่างดีแทนการหลบลี้หนีหน้า
นักท่องเที่ยวต่างหลั่งไหลจากทั่วโลกมายังอเมริกาเพื่อร่วมประเพณีล้างบาปที่ไม่เหมือนใครครั้งนี้ เพราะเจ้าหน้าที่ระดับไหนๆ ก็ไม่ได้รับการยกเว้น การล้างบางคนจนกำลังจะเกิดขึ้นอีกครั้ง โดยมีคนรวย นักการเมือง และคนในศาสนาที่กำลังร่วมกันก่อการหนนี้
การเล่าเรื่อง
เรื่องราวของ The Purge คือหนังที่มีคอนเซปที่แปลกใหม่ และพาคนดูไปสู่เรื่องราวใหม่ๆอยู่เสมอ มันเริ่มต้นจากพล็อตที่ว่าด้วยค่ำคืนหนึ่งของในแต่ละปี จะถูกประกาศให้เป็น “วันล้างบาป” วันที่อาชญากรรมทุกรูปแบบจะถูกกฎหมาย แต่ยังได้รับการสนับสนุนจากรัฐบาล 12 ชั่วโมงแห่งความบ้าคลั่ง
ผู้คนออกไล่ล่าฆ่าคนอื่นภายใต้หน้ากาก เหตุการณ์ในภาคแรกเกิดขึ้นกับครอบครัวคนรวยย่านชานเมืองที่โดนบุกรุกและพวกเขาก็ต้องเอาชีวิตรอดจากเหตุการณ์นั้น ก่อนที่เรื่องราวในภาคที่ 2 อย่าง The Purge: Anarchy จะพาคนดู “ออกจากบ้าน” แล้วไปเผชิญหน้ากับการไล่ล่าที่เกิดขึ้นบนท้องถนน
แต่สำหรับ The Purge: Election Year จะบอกเล่าเหตุการณ์ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีคนใหม่ ซึ่งการแข่งขันดูหนังฟรีระหว่างผู้ลงสมัครที่ต่างเชื่อมั่นในความสุดโต่งของแต่ละแนวคิด เมื่อฝ่ายหนึ่งอยากจะยกเลิก “คืนล้างบาป” ในขณะที่อีกฝากหรือขั้วอำนาจเก่าอยากจะคงไว้ซึ่งประเพณีดังกล่าว
เมื่อพิจารณาตามแนวคิดแบบผู้กุมอำนาจเดิมนั้น เพราะพวกเข้าเชื่อว่าการล้างบาปในแต่ละปีจะทำให้อาชญากรรมลดต่ำลง แต่อันที่จริงแล้วภายใต้แนวคิดที่เหมือนจะดูดีนั้นแท้ที่จริงแล้วเป็นแผนอันแยบคายของผู้มีอำนาจในการลดจำนวนประชากรลงโดยเฉพาะกลุ่มคนยากคนจน ซึ่งเป็นตัวการทำให้เศรษฐกิจตกต่ำและรัฐบาลต้องเจียดเงินด้านสาธารณะสุขมาให้คนกลุ่มนี้
ประเด็นสู่เรื่องศาสนาและการเมือง
ภาคก่อนจะเน้นการปกป้องชีวิตตัวเองอยู่ในบ้าน ขยายมาเป็นการเดินไปหลบไปในเมือง มาภาคนี้ ‘The Purge 3: Election Year’ พาไปเผชิญกับเหตุเอาตัวรอดจากคืนอันเลวร้ายในหลากหลายที่ ทั้งในเมือง ทั้งใต้ดิน และแม้กระทั่งในโบสถ์
ภาคใหม่เล่าขยายไปถึงในภาคการเมืองและศาสนา พวกเขามองการชำระล้างบาปในมุมใหม่ที่เลวร้ายกว่าเดิม เหมือนเป็นการมองในมุมของตัวเอง ใกล้เคียงกับจะเป็นการหลอกตัวเองด้วยซ้ำ
นักการเมืองที่คิดว่านี่เป็นเรื่องที่ถูกต้องไม่มองว่าเป็นความเลวร้าย ขณะที่นักบวชในศาสนาเองก็บิดเบือนศรัทธาไปสู่ความเชื่อในด้านมืด อาจถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็นการรับใช้การเมืองเสียด้วยซ้ำ
การล้างบาปที่จัดขึ้นทุกปีเป็นความตั้งใจจะหลบเลี่ยงการแก้ไขปัญหาของประเทศด้วยปัญญา มาใช้ความรุนแรงมาใช้แก้ปัญหา และกลายเป็นว่าคนรวยกลับรอดเพราะมีเม็ดเงินในการป้องกันตัวเอง แถมยังมีปัญญาจัดกิจกรรมหนังออนไลน์ล่อลวงคนเข้ามาเพื่อฆ่าแล้วอ้างว่ามันเป็นการชำระล้างบาป
เรื่องการเมือง
แน่นอนเมื่อหนังภาคนี้ขยายจักรวาลของตัวเองพูดในเรื่องของระบบ “การเมือง” The Purge ก็พาคนดูมาไกลกว่า 2 ภาคที่ผ่านมา เพราะนอกจากจะเป็นหนังระทึกขวัญสยองขวัญแล้ว มันยังวิพากย์ระบบทุนนิยมได้อย่างน่าสนใจ
อีกทั้งมันยังตั้งคำถามถึงระบบศีลธรรม เมื่อหนังเผยให้เห็นฉากหนึ่งที่ว่า “คืนล้างบาป” นั้นแทบจะกลายเป็นวันท่องเที่ยวของชาวต่างชาติ เพื่อเดินทางเข้ามาหาความสนุกจากการฆ่าคน จนมีการขนานนามว่านี่เป็นการท่องเที่ยวเชิงฆาตกรรม
โลกที่ตัวละครกำลังดำรงอยู่นั้นเป็นโลกแบบไหน เป็นโลกที่ไม่เคยมีพื้นที่ให้สำหรับชนชั้นล่างที่ต้องหาเช้ากินค่ำ ทำงานกันอย่างหลงขดหลังแข็งเพื่อเอาตัวรอดในค่ำคืนที่ความปลอดภัยไม่มีเหลืออยู่ ยิ่งไปกว่านั้นการที่หนังเผยให้เราเห็นถึงตัวละครลานีย์ (เบ็ตตี้ กาเบรียล)
สาวผิวสีที่อดีตเคยเป็นสก๊อยหัวรุนแรงที่ปรับปรุงตัวเพราะได้รับความช่วยเหลือจากโจ(มิเคลตี้ วิลเลียมสัน) เจ้าของร้านขายของชำ จนเธอเปลี่ยนตัวเองจากคนเลว เธอผันตัวเองเป็นอาสาสมัครขับรถพยาบาลช่วยเหลือเหยื่อในคืนล้างบาป การมีอยู่ของตัวละครนี้ทำให้เราเห็นทัศนะที่ว่า การเชื่อมั่นในการกลับตัวของมนุษย์มีอยู่จริง
โดยรวม
นับเป็นหนังภาคต่อที่ยังคงความสนุก เส้นเรื่องเดินหน้าไปแบบพลิกผันตลอดเวลาไม่สามารถเดาทิศทางเรื่องได้เลย มีสถานการณ์คับขันให้ได้ลุ้นเรื่อย ๆ และยังคงธีมความโหดที่เป็นเอกลักษณ์ของหนังมาตั้งแต่ภาคแรก
ให้เห็นภาพการฆ่ากันของเหล่าพลเมืองบ้าคลั่ง แต่เป็นภาพไกล ๆ ไม่ชวนสยองนัก มีตุ้งแช่ให้ได้สะดุ้งแรง ๆ อยู่บ้าง ถึงแม้ผู้สร้างจะประกาศว่านี่คือภาคสุดท้าย แต่ฉากจบก็ยังทิ้งเหตุการณ์ไว้ให้สานภาคต่อไปได้อยู่
แต่ก็มีทางเป็นไปได้สูงเพราะ The Purge เป็นหนังฮอลลีวู้ดภาคต่อน้อยเรื่องที่ภาค 2 ภาค 3 ได้ทั้งเงินและเสียงวิจารณ์ในทางบวกมากขึ้น ภาค 2 ใช้ทุนสร้างไปแค่ 9 ล้านเหรียญ กวาดเงินมา 111 ล้าน
ภาคนี้เพิ่งเปิดตัวไปสัปดาห์เดียว ได้ตังค์มาแล้ว 62 ล้าน จากทุนสร้างเพียงแค่ 10 ล้าน เป็นหนังลุ้นระทึกที่เนื้อหาเข้มข้นจริงมีไอเดียที่แปลกต่างถ้าเคยดูภาค 1 ภาค 2 มาก็ไม่ควรพลาด หรือไม่เคยดูมาก่อนก็ดูได้รู้เรื่องครับ
สรุป
เป็นหนังที่ดูสนุก ในขณะเดียวกันมันยังถ่ายทอดแง่มุมต่างๆของความเป็นมนุษย์ออกมาได้อย่างน่าสนใจ แม้ว่าหนังจะเทน้ำหนักให้คนจนดูมีเลือดมีเนื้อมากกว่าบรรดาคนรวยก็ตาม แต่ในภาพรวมแล้ว นี่จัดได้ว่าเป็นภาคต่อที่น่าสนใจและเป็นมากกว่าแค่หนังนองเลือดธรรมดาเรื่องหนึ่งของปี
Comments