รีวิว Space Sweepers - ชนชั้นขยะปฏิวัติจักรวาล
หนังโรงเกาหลีปี 2020 ที่มีปัญหากับโควิดจนออกฉายไม่ได้ สุดท้าย Netflix ซื้อมาแบบ Exclusive ฉายในระบบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นแนวไซไฟในอวกาศของเกาหลีแบบเต็มรูปแบบที่ไม่ได้มีมาก่อน และถูกมองว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่งจากทุนสร้าง 21.2 ล้านเหรียญ รีวิว Space Sweepers
เรื่องย่อ
3 มนุษย์ กับอีก 1 หุ่นยนต์ จอมขบถชายขอบของสังคมที่รวมตัวกันเป็นสลัดอวกาศล่าขยะมีค่าที่ลอยเท้งเต้งอยู่นอกโลกในปี 2092 แต่ความซวยมาเยือนเมื่อพวกเขาดันไปเก็บอาวุธระเบิดมหาประลัยในรูปของเด็กน้อยหน้าตาจิ้มลิ้มเข้าเสียได้
แต่เหมือนส้มหล่นเพราะมีองค์กรก่อการร้ายพร้อมจะจ่ายให้ไม่อั้นเพื่อแลกตัวเด็กน้อยคืน สุดท้ายกลายเป็นสงครามสาดแสงเลเซอร์กลางอวกาศเพื่อแย่งตัวแบบมะรุมมะตุ้มทั้งฝ่ายคนดีและคนชั่ว โดยมีเหล่านักเก็บกวาดขยะอยู่ตรงกลางรอเลือกข้าง ว่าจะเอาเงินหรือไม่ก็คุณธรรม
หนังโรงเกาหลีปี 2020 ที่มีปัญหากับโควิดจนออกฉายไม่ได้ สุดท้าย Netflix ซื้อมาแบบ Exclusive ฉายในระบบ ซึ่งเรื่องนี้เป็นแนวไซไฟในอวกาศของเกาหลีแบบเต็มรูปแบบที่ไม่ได้มีมาก่อน และถูกมองว่าเป็นหนังฟอร์มยักษ์เรื่องหนึ่งจากทุนสร้าง 21.2 ล้านเหรียญ
ถ้ามองว่าการพิชิตอวกาศคือหมุดหมายของประเทศมหาอำนาจทางเทคโนโลยีและการทหาร การที่อุตสาหกรรมหนังของประเทศใดจะประกาศศักดาก็ต้องเป็นการสร้างหนังไซไฟอวกาศโชว์ความอลังการด้วยเช่นกัน
ไม่นับฮอลลีวูดที่เป็นยักษ์ใหญ่ของโลกและมีหนังอวกาศฟอร์มใหญ่ให้ชมแทบทุกปี พี่จีนเองก็เพิ่งประกาศศักดาไปกับหนัง The Wandering Earth (2019) เพื่อตีตื้นฝั่งตะวันตก ยิ่งฝั่งญี่ปุ่นที่สร้างหนังไซไฟแนวเอเชียมาก่อนชาวบ้านชาวช่อง
ในช่วงใกล้ ๆ นี้ก็มีหนัง Space Battleship Yamato (2010) ออกมาผงาด ชนิดที่เอา สตีเวน ไทเลอร์ นักร้องนำวง Aerosmith มาร้องเพลงประกอบก็ทำมาแล้ว และ Space Sweepers เองก็พูดได้เต็มปากว่ามีความสำคัญในระดับหนังที่ว่ามาเช่นกัน
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องถูกเซ็ตไว้ในปี 2092 ที่ต้นไม้บนโลกเติบโตไม่ได้เนื่องจากทะเลทรายขยายตัว ดินเป็นกรด แสงแดดอ่อน ทำให้อากาศบนโลกมีปัญหา ผู้คนต้องสวมหน้ากากกรองเพื่อช่วยหายใจ
ผู้คนไร้ทางออก จนได้บริษัท UTS ที่มีเจมส์ ซัลลิแวน เป็นเจ้าของสร้างอาณานิคมในอวกาศรอบวงโคจรโลกที่มีความเป็นอยู่อย่างดีเหมือนสวรรค์ แต่คัดเลือกคนขึ้นไปเป็นพลเมืองเพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น ประชากรที่เหลือ 90 กว่าเปอร์เซ็นต์กลายมาเป็นพลเมืองนอก UTS
ซึ่งมีหน้าที่ทำงานไปกลับระหว่างโลกกับ UTS เท่านั้น ไม่สามารถอยู่อาศัยได้ ทำให้เกิดปัญหาความเหลื่อมล้ำอย่างรุนแรง และทำให้โลกกลายเป็นดาวที่ไม่มีใครมีความหวังเหลืออยู่อีกต่อไป
กลุ่มตัวเอก 4 คนในเรื่องคือพนักงานเก็บขยะอวกาศ Space Sweepers ที่เป็นชื่อเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งก็มี “แทโอ” พระเอกของเรื่องเล่นโดย ซง จุง-กี รับบทเป็นนักบินหลัก ที่มีอดีตฝังใจเรื่องลูกสาว และต้องการเงินเพื่อนำมาใช้ในการนี้
“กับตันจาง” เจ้าของยานลำนี้ เล่นโดย “คิม แทรี” นักแสดงสาวที่เริ่มเล่นครั้งแรกจากหนังดัง The Handmaiden ในบทสาวรับใช้ และอีกสองคนคือ “ไทเกอร์ พัค” ตำแหน่งควบคุมป้อนพลังงานเครื่องยนต์ กับ “บั๊บส์” อดีตหุ่นยนต์สงครามที่กลายมาเป็นสายบู๊นักรบประจำยาน
ซึ่งทั้ง 4 คนนี้บังเอิญไปเจอกับเด็กหญิงตัวน้อยที่กุมความลับสำคัญของมนุษย์ชาติไว้ และต้องช่วยปกป้องเธอจากภัยคุกคามจากการตามล่าของผู้ก่อการร้ายที่ชิงตัวเธอมาจาก UTS
ตัวเรื่องดูเผินๆ นี่เกือบเหมือน การ์เดียนส์ออฟเดอะกาแล็กซี่ ของมาร์เวลเลยก็ว่าได้ เพราะเริ่มจากกลุ่มตัวละครที่ดูเหมือนไม่ค่อยเอาไหน แถมมีประวัติไม่ดี แต่มีทักษะเฉพาะทางโดดเด่นมารวมตัวกันเพื่อหวังเงิน
แต่กลายมาเป็นทีมกู้โลกกู้จักรวาลกันเลยทีเดียว ซึ่งตัวเรื่องถ้าฉายโรงแล้วประสบความสำเร็จก็มีโอกาสทำต่อ เพราะบทในเรื่องนี้ถูกปูไว้ให้ทำต่อได้สบายๆ การที่เรื่องเน้นทักษะในการเก็บขยะอวกาศ ก็มีอิงที่มากับโครงสร้างเรื่องที่ว่า UTS สร้างอาณานิคมและก็ทำให้เกิดขยะจากซากชิ้นส่วนต่างๆ มหาศาล
จนกลายเป็นมลภาวะขนาดใหญ่ที่มีโอกาสทำให้คนที่ใช้ชีวิตในอวกาศและบนโลกได้รับอันตรายจากการพุ่งชนได้ ซึ่งจุดนี้ก็ถูกนำมาใช้เป็นที่มาของบาดแผลในใจของพระเอกที่เกิดกับลูกสาวของเขาในเรื่องด้วย
ประเด็นปัญหาเรื่องชนชั้น
ตัวหนังพยายามโฟกัสประเด็นสำคัญไปที่ปัญหาเรื่องชนชั้น อำนาจเงินที่ครอบงำคนได้ โดยพระเอกของเรื่องหายใจเข้าออกเป็นเงินตลอดเวลา ไม่แคร์ใครจะว่ายังไงเงินต้องมาก่อน แต่ก็เพื่อช่วยเหลือลูกสาวของเขา
ส่วนเจมส์ ซัลลิแวนเจ้าของ UTS แม้จะสร้างอาณานิคมที่ดูดี มีความต้องการให้โลกของเขาเหมือนสวรรค์ แต่เจ้าตัวก็ใช้เงินดึงดูดทุกอย่างมาไว้ที่นี่ รวมถึงการใช้เงินฟาดหัวปิดปากแก้ปัญหา รวมถึงล่อหลอกคนให้เผยธาตุแท้ที่เขาเชื่อว่าใครๆ ก็ต้องการเงิน
ซึ่งเรื่องราวอำนาจเงินกับระบบชนชั้นในเรื่องถูกนำเสนอออกมาหลายฉาก เป็นฉากสำคัญๆ กับการตัดสินของทีมตัวเอก เมื่อต้องเลือกระหว่างเงินกับความถูกต้อง ทีมตัวเอกในช่วงแรกจากที่หิวเงินคิดหาเงินจากเด็กที่ช่วยไว้ ก็ค่อยๆ มีโอกาสตัดสินใจใหม่ในภายหลัง
แต่หนังก็ดูหนังฟรี ทำออกมาตามสูตรสำเร็จฮีโร่ธรรมดาทั่วไป จนเรื่องชนชั้นกับเงินตราในเรื่องออกมาแบบดูง่ายๆ ไม่ได้ต้องคิดมากหรือมีความกดดันอะไรมากมายนัก จนรู้สึกเสียดายว่าถ้าหนังตั้งใจจะเล่นเรื่องนี้จริง
ก็น่าจะเข้มข้นจริงจังกว่านี้หน่อย เพราะอุตส่าห์ปูโลกอาณานิคมกับเรื่องราวความหลังที่ทีมพระเอกมีความขัดแย้งกับ UTS ไว้มากมายกว่าที่เห็นในตอนแรกแล้วแท้ๆ
ตัวละคร
ตัวละครหลักอย่างแทโอถูกปูให้มีเรื่องฝังใจกับลูกสาวเป็นเมนหลักของเรื่องที่เชื่อมโยงกลับมายังเด็กสาวตัวน้อยที่พบเจอ และก็เริ่มกลายเป็นความผูกพันกับพระเอกและคนในทีม ซึ่งตัวหนังก็พยายามขายซีนน่ารักๆ ของเด็กกันเต็มที่ มีฉากนอกเรื่องลากยาวกับเด็กจนรู้สึกว่ายัดเยียดเกินไปหน่อยเหมือนกัน
ส่วนบทลูกสาวของแทโอเป็นเรื่องราวสำคัญในอดีตที่แฟลชแบ็คกลับไปเป็นช่วงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น และมีความทรงจำดีๆ อะไรต่อกัน ซึ่งส่วนนี้เองถือว่าทำออกมาได้ดี มีความลึกซึ้งในเรื่องราว ช่วยให้หนังดูมีอะไรมากขึ้น
ตัวละครอื่นอย่างกับตันจางกับพัค บทก็พยายามเขียนให้มีเรื่องราวความหลังก่อนมาทำงานเก็บขยะแบบซีเรียสจริงจัง แต่ด้วยความที่เรื่องโฟกัสหลายจุด ก็เลยมีแค่ฉากสั้นๆ กับเรื่องราวบอกเล่าความเป็นมาพอให้รู้นิดหน่อย
ซึ่งกลายเป็นการปูแบบที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไรกับเรื่องสักเท่าไหร่ แถมยังดูแปลกๆ กับความโหดของปูมหลังทั้งคู่ ที่มาตอนนี้กลายเป็นรักเด็ก ช่วยโลก พลิกกลับได้ในเวลาแค่ไม่กี่ปีได้ยังไง แม้จะเข้าใจว่านี่เป็นหนังฮีโร่ทีมพระเอกต้องเป็นคนดีก็ตาม
แต่ตัวละครที่เด่นแบบขโมยซีนและน่าจะถูกใจคนดูที่สุดคือ “บั๊บส์” อดีตหุ่นยนต์สงครามที่กลายมาเป็นลูกเรือ มีฉมวกเก็บขยะเป็นอาวุธต่อสู้ ซึ่งมีซีนให้บั๊บส์โชว์ฉากบู๊นอกยานกับเต็มที่ ถึงขนาดคนเดียวถล่มกองยานรบได้เลย
ซึ่งดูเว่อร์มากเกินไปเหมือนกัน นอกจากนั้นบั๊บส์เองยังรับบทเป็นตัวยิงมุกตลกต่างๆ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งเจ้าตัวไม่ได้จะให้ขำ แต่มันขำเพราะความทื่อๆ ซื่อๆ จากการที่บั๊บส์เป็นหุ่นพูดมาก และก็ตั้งใจหาเงิน เก็บเงินสุดๆ จนเป็นเหมือนคนจริงๆ มากกว่าหุ่น
ซึ่งในตอนจบของเรื่องเราก็จะได้เห็นว่าบั๊บส์เอาเงินไปทำอะไร ซึ่งก็ชวนขำนิดๆ ในความเป็นเกาหลีจ๋าของเรื่อง
และแต่ละตัวละครก็มีปมอดีต หรือปมดราม่าของตัวเองที่ไม่มากไม่น้อย พอให้ประคองไปกับเรื่องได้ไม่ไร้รสชาติ อย่างตัวพระเอกที่มีปมเรื่องลูกสาวก็สามารถใช้แฟลชแบ็กราว ๆ 5 นาที
แต่เล่าได้จับใจคัดมาเน้น ๆ แล้วไม่ต้องยืดเยื้อ แต่เอามาใช้เกลาตัวละครแทโฮนี้ได้ทั้งเรื่องเลย พวกรายละเอียดในบทเล็ก ๆ น้อยแต่ได้ผลมากนี้ล่ะ ที่น่าสนใจ น่าเอาแบบอย่างมากทีเดียวสำหรับงานบันเทิงไทย
ฉากไซไฟ
แต่จุดขายจริงๆ หนังใหม่ชนโรงเป็นฉากไซไฟมากกว่า ด้วยความที่เป็นหนังโรงทุนสร้างสูง คุณภาพโปรดักชั่นกับ CG จึงออกมาดี เรียกว่าโอเคเลยกับฉากไซไฟต่างๆ ไม่มีลอยหรือหลุด แทบจับผิดไม่ได้เลย เพียงแต่ว่า CG หลายฉากดูเป็นแนวเกมมากกว่าแนวสมจริง
ส่วนฉากแอ็กชั่นเป็นแนวบู๊ผสมตลก แบบเดียวกับการ์เดียนส์ออฟเดอะกาแล็กซี่ โดยมีฉากยานเก็บขยะไล่ล่าแย่งชิ้นส่วนกัน เพื่อโชว์สกิลลูกเรือแต่ละคนในตอนต้น รวมถึงกลุ่มคนเก็บขยะที่มีบทบาทเสริมในช่วงหลัง
ส่วนมากจะเป็นฉากยานไล่ล่ายิงกันเป็นส่วนใหญ่ นอกเหนือจากนั้นจะเป็นฉากต่อสู้กับทหารที่สวมเกราะเหมือนหุ่นยนต์ โดยมีตัวร้ายรองเป็นสาวฝรั่งสวมเกราะ ที่เห็นแค่ใบหน้าเพียงบางส่วน
ซึ่งทำออกมาดีมาก มีฉากโชว์สกิลของนางเยอะ มีความโหด มีฉากต่อสู้แบบเจอทีมตัวเอกรุมก็ยังเอาไม่ลง แต่ตัวร้ายหลักเองกลับไม่มีฉากต่อสู้อะไรเลย แม้จะพยายามปูว่าน่าเกรงขามมากด้วยบางอย่างในร่างกายที่น่าจะพิเศษกว่ามนุษย์ปกติ
แต่พอไคลแม็กซ์ของเรื่องกลับมีแค่ฉากยานไล่ล่ากันแบบที่เห็นมาตลอดเรื่อง และก็จบแบบง่ายๆ ไม่ได้มีความน่าตื่นเต้นอะไร นอกจากบทซึ้งๆ ให้กับทีมพระเอกมากกว่า
หนังเป็นฝีมือของผู้กำกับ โจซองฮี ที่เคยมีผลงาน A Werewolf Boy (2012) ร่วมกับพระเอกดัง ซงจุนกิ เข้าฉายในบ้านเราเมื่อหลายปีก่อน ทว่าเอาจริงแล้วตัวเขาก็มีงานที่น่าจับตามองตั้งแต่ตอนทำหนังสั้นเรื่องแรก แล้วคว้ารางวัลจากเมืองคานส์กลับบ้านสำเร็จ ในหนัง Don’t Step Out of the House (2009)
จุดเด่น
จุดที่หนังทำได้ดีตามมาตรฐาน อันจะขอกล่าวถึงก่อน คือการใส่รสปรุงที่เป็นเอกลักษณ์ของงานเกาหลีที่ว่า บทเด่นดราม่า เชิดหน้าชูตางานแสดง โดยการเลือกสร้างกลุ่มละครตัวนำที่น่าสนใจ ที่มีทั้งสาวแกร่งเกินหน้าผู้ชายอย่าง กัปตันจาง (คิมแทรี)
นักขับยานหน้าตาดีแต่ยาจกที่มีปมอดีตสุดดราม่าอย่าง แทโฮ (ซงจุนกิ) ช่างเครื่องนักเลงหัวไม้แต่ใจดีอย่าง ไทเกอร์พัค (จินซอนคยู) และหุ่นยนต์ปากกวนอวัยวะอย่าง บั๊บ (ยูแฮจิน) ถึงแม้จะดูแตกต่างกันมาก แต่ก็สามารถเอามารวมกลุ่มกันได้เคมีลงตัวมาก ๆ
และความเก่งคือเป็นการเลือกตัวแทนของคนชายขอบหลายแบบ ที่น่าตื่นเต้นสุด ๆ คือการให้เจ้าหุ่นบั๊บแทนกลุ่มทรานส์เจนเดอร์ที่ไม่ค่อยได้เห็นในงานแมสของเกาหลีบ่อยนัก
จุดที่ทำได้ดีเกินคาด ไปพอสมควร ก็คืองานโพรดักชันที่รู้อยู่แล้วว่าต้องจัดเต็ม ซีจี โมชันแคปเจอร์ เอฟเฟกต์ พร็อป ฉาก คอสตูม เพราะเห็นบางส่วนมาจากเทรลเลอร์แล้ว ทว่าหนังจริงก็ไม่ได้ยิ่งหย่อนอ่อนข้อ เพราะตลอดความยาว 2 ชั่วโมงหน่อย ๆ หนังไม่มีดรอปมาตรฐานเลย มีหลุดเล็กน้อยบางช็อตเท่านั้นที่ยังหลอก ๆ ตา
โดยรวม
โดยรวมต้องยอมรับจริง ๆ ว่านี่คืองานเอาไปโม้เอาไปกระทบไหล่หนังบล็อกบัสเตอร์ได้เลยทีเดียว ขนาดว่าดูผ่านจอทีวียังรู้สึกได้ ไม่ต้องคิดว่าถ้าได้ฉายในโรงจะเพิ่มอรรถรสภาพกับเสียงไปได้อีกเท่าไร น่าเสียดายว่าพิษโควิด-19 ทำให้อดชมในโรง แต่ก็ดีในร้ายที่หนังได้ลงเน็ตฟลิกซ์ดูพร้อมกันทั่วโลกแทน
สรุป
หนังเป็นฝีมือของผู้กำกับ โจซองฮี ที่เคยมีผลงาน A Werewolf Boy (2012) ร่วมกับพระเอกดัง ซงจุนกิ เข้าฉายในบ้านเราเมื่อหลายปีก่อน ทว่าเอาจริงแล้วตัวเขาก็มีงานที่น่าจับตามองตั้งแต่ตอนทำหนังสั้นเรื่องแรก แล้วคว้ารางวัลจากเมืองคานส์กลับบ้านสำเร็จ ในหนัง Don’t Step Out of the House (2009)
นี่เป็นหนังโรงที่คนดูเน็ตฟลิกซ์ได้กำไรจากปัญหาโควิด 19 มาลงในนี้แทนไม่ต้องเสียตังตีตั๋ว ดูเพลินๆ ยาวสองชั่วโมงกว่าก็ถือว่าคุ้มค่าเลยครับ แต่อาจจะไม่ได้มีอะไรประทับใจมาก เพราะหนังทำออกมาเป็นสูตรสำเร็จย่อยง่าย แบบหนังฮีโร่ทั่วไปจากมาร์เวล แต่มาเป็นทีมเกาหลีฮีโร่ปกป้องจักรวาลแทนเท่านั้น
תגובות