รีวิว Soul - อัศจรรย์วิญญาณอลเวง
หนึ่งในนั้นที่เฝ้ารอคอยดูมากที่สุดของปี 2020 เพราะแค่ได้ยินชื่อทีมผู้สร้างหนังและยังติดยี่ห้อ พิกซาร์ สตูดิโอ เข้าไปด้วยแล้ว ก็สามารถคาดหวังเอาไว้ล่วงหน้าก่อนได้เลย เพราะค่ายนี้เขาได้ชื่อว่าพิถีพิถันกับผลงานสุดๆ บรรจงสร้างเหมือนกับเลี้ยงลูกคนหนึ่ง และคอนเซ็ปต์ของหนังเรื่องนี้ยังว่าด้วยเรื่อง...ดวงวิญญาณ มันต้องไม่ธรรมดาแน่ๆ รีวิว Soul
เรื่องย่อ
โจ (เจมี ฟ็อกซ์) ครูสอนดนตรีต็อกต๋อยผู้รักดนตรีแจ๊สเป็นชีวิตจิตใจและในวันหนึ่งที่เขาได้เข้าใกล้ความฝันด้วยการได้รับเลือกให้เป็นมือเปียโนประจำวงแจ๊สชื่อดังทว่าด้วยความโชคร้ายเขากลับประสบอุบัติเหตุไปก่อนเวลาอันควร จนวิญญาณของเขาได้ระเห็จไปยังหนทางสู่ปรโลกแต่เขาก็สามารถหนีโชคชะตามาได้
แต่ดันไปโผล่ในดินแดนก่อนโลกและถูกเข้าใจผิดว่าเป็นวิญญาณพี่เลี้ยงจนได้จับคู่กับหมายเลข 22 (ทีนา เฟย์) ดวงวิญญาณอนุบาลที่ไม่อยากไปเกิดเป็นมนุษย์ ทั้งสองจึงทำข้อตกลงกันว่าหากโจสามารถทำให้หมายเลข 22 หาเป้าหมายและได้สิทธิ์ไปเกิดบนโลกโจจะได้รับสิทธิ์กลับสู่ร่างตัวเอง แล้วการผจญภัยของทั้งสองก็เริ่มขึ้น
เป็นการตัดสินใจที่เด็ดขาดมากของดิสนีย์ที่นำแอนิเมชันของ Pixar อย่าง SOUL ลงสตรีมทาง Disney+ ทั้งที่เป็นโปรแกรมหนังที่หวังด้านรายได้ได้เลยแต่ด้วยสถานการณ์การระบาดของเชื้อไวรัส COVID 19 ที่ยังไม่มีแนวโน้มดีขึ้นการตัดสินใจดังกล่าวก็ถือว่าพอเข้าใจได้
แต่กระนั้นสำหรับเมืองไทยหนังยังได้สิทธิ์ฉายโรงอยู่แต่การโปรโมตก็นับว่าน้อยมากจนกลัวหลาย ๆ คนไม่ได้ดู ผมจึงขออนุญาตป่าวประกาศความดีงามของหนังในรีวิวฉบับนี้แบบไม่มีกั๊กเลยแล้วกันนะครับ
ชีวิตคนเรามักจะเฝ้าถามตัวเองอยู่เสมอว่าเมื่อไหร่ฉันจะประสบความสำเร็จ บางคนไขว่คว้าตามหาสิ่งที่ตัวเองต้องการมาตลอดชีวิต พยายามมากมายแค่ไหนก็ตามแต่ก็ดูเหมือนจะไปไม่ถึงปลายทางนั้นเสียที
บางคนเฝ้าถามตัวเองว่าทำไม เรายังเก่งไม่พอหรือ หรือเรายังขาดอะไรไป บ้างก็กล่าวโทษตัวเองว่า เราคงไม่มีความสามารถและทนทุกข์อยู่กับความคิดลบๆของตัวเองต่อไป
เนื้อเรื่อง
แนวคิดหลักของ Soul ที่เล่าเรื่องราวของโจ การ์ดเนอร์ (พากย์เสียงโดยเจมี่ ฟ็อกซ์) ครูผู้ควบคุมวงดนตรีระดับชั้นมัธยม ที่หลงใหลในดนตรีแจ๊สมาตั้งแต่ยังเด็ก ความฝันของเขาคือการได้เป็นนักดนตรีแจ๊สมืออาชีพ
หลังจากที่เขาได้รับการเรียกตัวให้ไปเล่นกับโดราธี วิลเลียม (พากย์เสียงโดยแองเจล่า บาสเซตต์) ศิลปินนักเป่าแซกโซโฟนแจ๊สที่มีฝีมือหาตัวจับยาก หลังจากที่ไปซ้อมวงร่วมกันโจ ก็ได้รับเชิญให้มาร่วมแสดงกับวง
โจดีใจมากจนมัวแต่หลงคุยโทรศัพท์โดยไม่มองทาง เขาเลยพลัดตกลงไปในบ่อกลางถนน ไม่นานนักภาพของเขาก็ตัดมาเป็นดวงวิญญาณที่กำลังจะต้องเดินทางไปยังดินแดนหลังความตาย แต่ด้วยความรู้สึกที่โจกำลังจะได้เปล่งประกายตามความฝัน
เขาเลยพยายามหนีออกมาและหลุดเข้าไปในดินแดนก่อนเกิด อันเป็นสถานที่บ่มเพาะบุคลิกให้กับดวงวิญญาณที่กำลังจะเดินทางไปเกิดบนโลกมนุษย์ ที่นี่เองโจได้พบกับทเวนตี้ทู (พากย์เสียงโดยทีน่า เฟย์) วิญญาณหัวรั้นที่ไม่ยอมลงไปเกิดสักที โจมองเห็นโอกาสว่าถ้าหากเขาสามารถทำให้ทเวนตี้ทูได้รับบุคลิกจนครบ เขาอาจจะจะได้โอกาสในการกลับลงไปบนโลกมนุษย์อีกครั้ง
การดำเนินเรื่อง
ขอสารภาพก่อนเลยว่าเนื้อเรื่องที่เพิ่งเขียนไปยังไม่ได้เล่าเรื่องราวเกินกว่า 30% เลยครับเพราะอยากให้ทั้งคนไปเสพความดีงามของหนังกันในโรงด้วยตัวเองแต่เอาแค่เรื่องราวที่ผมเขียนไปกับที่เราเห็นในตัวอย่างหนังแค่นี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่า Pixar นี่ไม่เคยสิ้นไร้ไอเดียเจ๋ง ๆ จริง ๆ
และลำพังแค่เรื่องการตามหาตัวตนที่เป็นเอกลักษณ์ของพีต ด็อกเตอร์ผู้กำกับ UP และ Inside Out ก็ทำให้เราอึ้งแล้วคราวนี้ลีลาการเล่ายังข้ามเส้นความเป็นแอนิเมชันเมนสตรีมแบบสมควรปรบมือให้
โดยประการแรกดูหนังฟรี เลยคือพีต ด็อกเตอร์ที่คราวนี้ขอดันเคมป์ เพาเวอร์สมาเขียนบทและกำกับร่วมได้สร้างโลกของวิญญาณ ชีวิตก่อนและหลังความตายได้น่าสนใจมากที่สำคัญคือมันเกินจากสิ่งที่ศาสนาพร่ำบอกแค่เรื่องความดีความชั่ว
แต่มันตั้งคำถามระดับอภิปรัชญาอย่าง เราเกิดมาทำไม? ได้ชวนคิดและคล้อยตามมากซึ่งในหนังทั่วไปโจอาจถูกปฏิบัติประหนึ่งฮีโร่ที่ล่าฝันและเอาชนะความตายกลายเป็นนักดนตรีที่ประสบความสำเร็จ
ตรงกันข้ามเลย…แอบบอกให้นิดนึงว่าหนังให้โอกาสโจได้กลับมายังโลกจริงนะครับแต่เชื่อไหมว่าคนดูได้กลายเป็นฝั่งที่ได้เรียนรู้พร้อมกับโจ และหลายอย่างที่นำเสนอก็สั่นคลอนความเชื่อและคติเดิมในการใช้ชีวิตอยู่ไม่น้อย ผมยังจำซีนในร้านตัดผมได้ชัดเจนมากบทหนังให้โจไปเจอเพื่อนเก่าที่ต้องมาเป็นช่างตัดผม
และคำตอบของคำถามที่ว่าคนเราชีวิตจะมีความหมายไหมถ้าเราไม่ได้ทำตามความฝันนี่มันเหนือความคาดหมายจริง ๆ และแน่นอนว่ามันส่งผลต่อการมองโลกของตัวละครทั้งสองและคนดูอย่างเราเข้าจัง ๆ
ประการต่อมาขอขยายจากข้อแรกว่าด้วยโลกหลังความตายอันนี้แม้ผิวเผินมันจะเหมือนแอบลอกการบ้านงานเก่าอย่าง Inside Out มาบ้างแต่ด้วยองค์ประกอบและการลำดับการเล่าเรื่องชั้นเซียนมันกลับทำให้เราคล้อยตามและชวนคิดมากเพราะคราวนี้แทนที่จะสร้างทุกอย่างออกมาเป็น 3 มิติ
เราเริ่มเห็นการออกแบบคาแรกเตอร์ที่ดูเป็นนามธรรมมากขึ้นโดยอาศัยโครง ๆ จากศิลปะแนวแอ็บสแตร็ก (Abstract) ที่ลดทอนเหลือแค่เส้นสาย(จากภาพที่ออกมาเหมือนได้แรงบันดาลใจจากแนว Cubism ของ Picasso)
ซึ่งแทนที่เราจะรู้สึกว่าการออกแบบหนังใหม่ชนโรงคาแรกเตอร์ที่เป็นเส้น ๆ แบบนี้ดูลวก ไม่ตั้งใจวาด มันกลับทำให้เรามองเห็นความรัดกุมของบทอันว่าด้วยโลกหลังความตายและการพูดถึงนามธรรมและสิ่งสมมติได้อย่างลึกล้ำ เอาเป็นว่าต่อให้คุณไม่เคยสนใจปรัชญาการดูหนังเรื่องนี้ก็จะทำให้ได้คุ้นเคยและไม่แปลกแยก
จุดเด่น
หนังมีบทที่แข็งแรงและแข็งแกร่งมากจริงๆ สตอรี่ของหนังเต็มไปด้วยเหตุผล แม้ว่าจะอยู่บนสถานการณ์ที่เกินจริงไปมากก็ตาม ความคิดสร้างสรรค์ในการออกแบบทิศทางเรื่องและเนื้อหาโดยรวมแทบไม่มีอะไรให้ติ
เป็นช่วงเวลา 100 นาทีที่คนดูสามารถอิ่มเอมไปกับการผจญภัยของ 2 ดวงวิญญาณคู่นี้ได้อย่างน่าประทับ โดยที่ผู้กำกับ "พีท ด็อกเตอร์" (จาก Inside Out) กลับมาท็อปฟอร์มอีกครั้ง
อันที่จริงตัวหนังก็อาจจะมีองค์ประกอบบางอย่างคล้ายๆ กับ Inside Out ผลงานเรื่องก่อนของผู้กำกับ โดยเฉพาะการนำเอาประเด็นในรูปแบบนามธรรม กลั่นกรองออกมาเป็นรูปธรรมได้อย่างลงตัว
คราวก่อนเขาเล่นกับภาวะอารมณ์ของคน แต่คราวนี้เปลี่ยนมาหยิบจิตวิญญาณของมนุษย์เล่นดูบ้าง และต้องยอมรับว่าเขาขยี้ประเด็นออกมาได้ถึงกึ๋นจริงๆ
ไม่เพียงเท่านั้น เสน่ห์ความเข้ากันและความไหลลื่นในการเล่าลื่นยังเป็นสิ่งที่ดีในหนังเรื่องนี้ ตัวละครหลักๆ อย่าง โจ การ์ดเนอร์ กับ 22 ก็ไม่ต่างกับคนทั่วไปที่กำลังมองหาสิ่งที่ตัวเองชื่นชอบ ทำตามใจตัวเอง มีนิสัยทั้งด้านดีและด้านเสีย พวกเขาจึงเป็นคาแรกเตอร์ที่จัดได้ว่ามีความมนุษย์ค่อนข้างสูงมากๆ สูงกว่าบรรดาตัวละครในหนังแอนิเมชั่นเรื่องอื่นๆ ด้วยซ้ำ
ระหว่างที่ดูหนังเรื่องนี้อยู่ก็แอบคิดเล่นๆ ขึ้นมาว่า ถ้าหากนำเอาเรื่องนี้ไปสร้างเป็นฉบับคนแสดงจริง ก็คงจะไม่สามารถถ่ายทอดออกมาได้ในโทนบรรยากาศเช่นนี้ น่าจะเป็นหนังแฟนตาซีเพ้อๆ ไปสักหน่อย แต่เมื่อมาเล่าเรื่องอยู่ในรูปแบบแอนิเมชั่น บนพื้นฐานความเป็นการ์ตูนทำให้เราได้มองข้ามความสมจริงในบางอย่างไป และได้อิ่มเอมไปด้วยวัตถุประสงค์หลักที่หนังต้องการสื่อถึงได้อย่างเต็มอิ่ม
จุดด้อย
แต่ก็ใช่ว่า Soul อัศจรรย์วิญญาณอลเวง จะเป็นหนังที่ไม่มีจุดด้อยเลย ต้องยอมรับว่าหนังค่อนข้างกระชับและเล่าเรื่องได้อย่างฉับไว ทำให้บางทีคนดูก็ยังไม่ทันได้ซึมซับอารมณ์นั้นๆ ได้เต็มที่อย่างที่ควร จึงน่าเสียดายที่ประเด็นที่ดีของหนัง ยังบีบเค้นใจคนดูได้ยังไม่สุดทาง เพราะจังหวะของหนังที่ยังมีบางช่วงที่โดดๆ ไปอยู่บ้างนิดหน่อย
โดยรวม
ท่ามกลางดินแดนในจินตนาการหนังยังแทรกสอดแง่คิดในการค้นหาความหมายของชีวิตอยู่ตลอดเวลา ซึ่งจะว่าไปแล้ว Soul นั้นเป็นมุมมองแอนิเมชั่นที่ชวนให้บรรดาผู้ใหญ่ (อย่างน้อยก็ต้องผ่านชีวิตมาประมาณหนึ่ง) ได้พยายามทำความเข้าใจว่า บางครั้งการเดินทางไปสู่จุดหมายที่ตัวเองตั้งเป้าไว้
โดยไม่มองเรื่องราวที่เกิดขึ้นระหว่างทางนั้นอาจจะทำให้เรามัวแต่จดจ่อและทุกข์อยู่กับสิ่งที่เราคาดหวังและไม่ได้รับมันมาซักที อย่างไรก็ตามเป็นไปได้เมื่อถึงฝั่งฝันแล้ว เราก็ยังไม่พบความสุขที่เราตามหาอยู่ดี แล้วสรุปแล้วสุดท้ายอะไรคือความสุขในชีวิตของเรากันแน่
สรุป
แม้ว่าหนังจะอยู่บนพื้นฐานความเป็นการ์ตูนและแฟนตาซี แต่หนังก็มีความเป็นมนุษย์อยู่ค่อนข้างสูง กับข้อคิดที่ใส่เข้ามาที่ช่วยเตือนย้ำและส่งสารไปถึงคนดูได้ดีว่า ชีวิตของเรา...มีเพียงแค่ชีวิตเดียว เกิด แก่ เจ็บ ตาย เป็นวัฏจักรชีวิตที่ทุกคนต้องพบเจอ เพียงแต่ระหว่างการดำรงชีวิตอยู่นั้น เราได้ทำและได้ค้นพบสิ่งที่เป็นตัวของเราเองแล้วหรือยัง?
Komentáře