รีวิว Rise of The Guardians - 5 เทพผู้พิทักษ์
ได้เวลาเข้าโรงหนังไปชมแอนิเมชั่นที่รอคอยอีกเรื่อง เหตุเพราะได้ชมตัวอย่างของมันแล้วรู้สึกว่าภาพมันสวยและละเอียดมากๆ “Rise of The Guardians” ผลงานเรื่องใหม่จากสตูดิโอ DreamWorks Animation ที่เคยผลงานน่าประทับใจมาแล้วจากหลายเรื่อง โดยเฉพาะ Kung Fu Panda และ How to Train Your Dragon งานนี้ ย่อมไม่พลาด รีวิว Rise of The Guardians
เรื่องย่อ
เมื่อปิศาจร้ายอย่าง พิทช์ แบล็ค คิดจะครองโลกด้วยการสร้างความกลัวในหัวใจเด็กๆ แน่นอนว่า เหล่าเทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่ย่อมจะยอมไม่ได้ที่จะให้เด็กต้องสูญเสียความฝัน ความหวัง จึงต้องออกมาต่อสู้ ร่วมกับเทพผู้พิทักษ์รายใหม่อย่าง แจ็ค ฟรอสต์ ที่ไม่พร้อมจะเป็นเทพผู้พิทักษ์สักเท่าไหร่
ได้เวลาเข้าโรงหนังไปชมแอนิเมชั่นที่รอคอยอีกเรื่อง เหตุเพราะได้ชมตัวอย่างของมันแล้วรู้สึกว่าภาพมันสวยและละเอียดมากๆ “Rise of The Guardians” ผลงานเรื่องใหม่จากสตูดิโอ DreamWorks Animation ที่เคยผลงานน่าประทับใจมาแล้วจากหลายเรื่อง โดยเฉพาะ Kung Fu Panda และ How to Train Your Dragon งานนี้ ย่อมไม่พลาด
แม้ว่าฟังดูเหมือนจะเป็นแค่ภาพยนตร์แอนิเมชั่นดูหนังออนไลน์ที่ฉายเพื่อต้อนรับเทศกาลแห่งความสุขสันต์ช่วงปลายปีก็ตาม แต่โดยลึกแล้ว Rise of the Guardians เองก็มีประเด็นหลักหรือใจความสำคัญที่น่าสนใจลึกกว่านั้น ประกอบกับความบันเทิงที่ปรุงแต่งอย่างน่าสนใจในระดับหนึ่ง ก็ช่วยให้ให้หนังเรื่องนี้สร้างความบันเทิงให้ผู้ชมได้อย่างน่าพึงพอใจ
ในชื่อไทย “5 เทพผู้พิทักษ์” หยิบเอาตำนาน ซานตาคลอส (มีนามว่า North พากย์เสียงโดย Alec Baldwin) มาเล่าในมุมที่เขาเป็นหนึ่งในเทพผู้พิทักษ์ของเด็กๆ มีรถเลื่อนคอยมาแจกของขวัญทุกๆ วันคริสต์มาส
มีโรงงานผลิตของขวัญโดยทีมงานของเอลฟ์ตัวเล็กๆ และไอ้ตีนโต เขาร่วมกับอีก 3 เทพ — นางฟ้าฟันน้ำนม (มีนามว่า Tooth พากย์เสียงโดย Isla Fisher) เธอจะคอยเก็บเอาฟันน้ำนมที่เด็กๆ วางไว้ใต้หมอน ฟันทุกซี่แทนความทรงจำในวัยเด็ก , กระต่ายอีสเตอร์ (นาม Bunny พากย์เสียงโดย Hugh Jackman) เจ้าของโปรเจ็กต์ไข่อีสเตอร์ที่เหล่าเด็กๆ ต่างเฝ้ารอคอยด้วยความหวัง
และ แซนด์แมน เทพผู้ไม่ใช้ปากพูด เขาจะสร้างภาพความฝันให้เด็กๆ ยามหลับด้วยการปั้นทรายเป็นรูปต่างๆ — ทั้งหมดร่วมกันทำภารกิจปกป้อง ความทรงจำ ความหวัง และความฝันให้กับเด็กทั้งโลก
เนื้อเรื่อง
เล่าถึงเด็กหนุ่มนามว่า แจ็ค ฟรอสต์ ผู้ที่มีชีวิตอมตะ มีพลังอำนาจในการควบคุมความเย็นเพียงแต่ว่าไม่มีใครมองเห็น แม้ว่าจะเรียกร้องความสนใจจากผู้อื่นยังไงก็ตามแต่ แต่แจ็ค ฟรอสต์ก็เหมือนจะเป็นเพียงแค่เรื่องเล่า ไม่มีใครรู้จัก ไม่มีใครเชื่อหรือศรัทธาแต่อย่างใด
แล้วอยู่มาวันหนึ่ง พิทช์ แบล็ค บูกี้แมนแห่งฝันร้ายได้ปรากฏตัวขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนฝันดีทั้งหลายให้เป็นฝัน ร้าย ทำลายความเชื่อในเรื่องเทพนิยายของเหล่าเด็ก ๆ จนหมดสิ้น และเช่นนั้นดวงจันทร์จึงแจ้งเหล่าเทพผู้พิทักษ์ทั้งสี่ ได้แก่ นอร์ธ ซานตาครอส, กระต่ายอีสเตอร์, ธูทแฟรี่ และ แซนด์แมน ถึงเวลาของเทพพิทักษ์คนใหม่ที่ไม่มีใครคาดคิดว่าจะเป็น แจ็ค ฟรอสต์ ตัวป่วนที่หลาย ๆ คนนั้นไม่อยากจะยุ่ง
การดำเนินเรื่อง
เรื่องราวนั้นดำเนินไปอย่างกระชับฉับไวตามแบบฉบับของแอนิเมชั่นสำหรับ เด็กที่โตขึ้นมาอีกหน่อย นอกจากงานภาพอันตะการตาแล้ว อารมณ์สนุกสนานรวมถึงความตื่นเต้นของฉากแอคชั่นก็ได้เพิ่มอารมณ์ให้เรื่อง ราวดำเนินไปอย่างค่อนข้างลื่นไหล แม้ว่าเรื่องหลายจุดจะดำเนินไปในรูปแบบที่เรียกได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จที่คาด เดาได้ไม่ยากก็ตาม
แต่ถึงกระนั้น มันก็ยังมีข้อดีอยู่ โดยแกนกลางที่ยึดให้เรื่องไม่ให้หลุดออกไปจากที่ควรจะเป็นก็คือเรื่องราวของ ความเชื่อและศรัทธา และมันก็ได้เชื่อมโยงไปหา แจ็ค ฟรอสต์ ผู้ที่ต้องการได้รับความเชื่อและศรัทธาจากผู้อื่น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เหล่าเด็ก ๆ ที่จะสามารถเห็นเขาได้ก็ต่อเมื่อมีความเชื่อและศรัทธาในตัวเขาเท่านั้น
ที่จริงประเด็นของเรื่องนี้ดูผิวเผินอาจจะเป็นอะไรที่ดูเด็กมากกับการที่ ความฝันของเด็ก ๆ ที่ถูกทำลายและแปรเปลี่ยนให้เป็นฝันร้าย แต่เมื่อมันได้รับการเล่าในเรื่องนี้ มันก็เล่าออกมาในท่าทีและแง่มุมที่น่าสนใจมากขึ้น เพราะมันกลายเป็นว่าเมื่อเหล่าเด็ก ๆ สิ้นศรัทธามันก็แปรว่าพวกเขาตื่นขึ้นมาและก็ได้พบกับความเป็นจริงและการโต เป็นผู้ใหญ่
ในขณะเดียวกัน การพบกันของแจ็ค ฟรอสต์ กับ พิทช์ แบล็ค ก็เป็นอะไรที่น่าสนใจ เพราะทั้งสองนั้นเป็นตัวละครที่มีแนวคิดคล้ายคลึงกันนั่นก็คือการที่ไม่มี ใครมองเห็น ไม่มีตัวตนที่แท้จริงอยู่ในสายตาผู้อื่น แต่ถึงกระนั้นตัวละครสองคนนี้ก็เลือกทางเดินที่แตกต่างกัน
ถึงแม้ว่าอันที่จริง แจ็ค ฟรอสต์ จะไม่ค่อยเต็มใจที่จะเข้าร่วมในการเป็นเทพพิทักษ์อะไรนี่เสียด้วยซ้ำ เพราะเขาไม่มีจุดหมาย ไม่รู้ว่าตนเองเป็นใคร และไม่รู้ว่าตนเองต้องการอะไร สิ่งที่ดึงลากให้แจ็ค ฟรอสต์ร่วมทางกับคนอื่นต่อไปเพราะต้องการตามหาความทรงจำในอดีตของตนเองก่อน ที่จะกลายมาเป็นแจ็ค ฟรอสต์เพียงเท่านั้น
โครงสร้างเรื่อง
ทั้งนี้ก็คงต้องกล่าวถึงโครงสร้างแรกเริ่มของเรื่อง เพราะหากลองพิจารณาดูดี ๆ แล้ว พิทช์ แบล็ค หรือ บูกี้แมน เป็นตัวร้ายที่อยู่ฝ่ายตรงข้ามกับตัวละครมากกว่าสามคน คนแรกคือ แจ็ค ฟรอสต์ ที่มีความขัดแย้งกันในการกระทำ
คนที่สองคือ แซนด์แมน ผู้ที่คอยสร้างฝันดีให้เหล่าเด็ก ๆ คนที่สามก็คือ นอร์ธ ซานต้าครอส ผู้ที่อยู่ดำรงตำแหน่งตรงกันข้ามกัน ทั้งนี้เราอาจจะรวมตัวละครเด็ก ๆ ที่มีบทค่อนข้างกระปริกระปรอยแต่ก็พลิกมามีความสำคัญในช่วงท้ายเรื่องด้วยก็ได้
อาจจะเป็นเหตุนี้ ทำให้บางจุดมันยังรู้สึกขาด ๆ เกิน ๆ อยู่ รวมถึงการสร้างสถานการณ์หลายอย่างที่มุ่งเน้นไปที่ความบันเทิงในการดำเนิน เรื่องอย่างเดียว แต่กลับไม่มีประโยชน์ในการดำเนินเรื่องเสียเท่าไหร่ เหล่าตัวละครสมทบที่บ่อยครั้งเหมือนรู้สึกว่าถูกสร้างมาเพียงเพื่ออุดช่อง ว่างของเรื่องจนต้องมีการใส่ฉากต่าง ๆ เพิ่มให้อย่างค่อนข้างยัดเยียดเพื่อไม่ให้ตัวละครเหล่านั้นถูกลืม
เพราะเช่นนั้นเราจึงต้องขอบคุณการออกแบบตัวละครซีรี่ย์ Netflix ที่โดดเด่นมีเอกลักษณ์ อยู่ในตัวและมีเสน่ห์ที่แตกต่างออกไปจากภาพประจำที่เราเคยเห็นมาเสนอ ไม่ว่าจะเป็นกระต่ายอีสเตอร์สุดเท่ที่พกบูมเมอแรงเป็นอาวุธ หรือ นอร์ธ ซานตาคลอส ร่างใหญ่ที่สักเต็มแขนพร้อมถือดาบยักษ์สองมือ เหล่าเอลฟ์ที่หมดสิ้นความน่ารักหรือแต่ความป่วน หรือเยติตัวโตที่กลายเป็นว่าพวกนี้นี่แหละเป็นผู้ที่สร้างของขวัญให้เหล่า เด็ก ๆ
และคงต้องรวมถึงความสัมพันธ์ระหว่างตัวละครที่ช่วยให้เรื่องเดินไปได้ อย่างน่าสนใจมากขึ้น การจับคู่ในบางฉากที่ถึงแม้จะเป็นเพื่อการสร้างสถานการณ์ให้เรื่องดำเนินไป ตามที่เรื่องวางไว้ แต่มันก็ยังน่าสนใจและมีเสน่ห์ ไม่ว่าจะเป็นอย่าง แจ็ค ฟรอสต์ กับแซนด์แมนในช่วงต้น หรือ แจ็ค ฟรอสต์กับกระต่ายอีสเตอร์ในช่วงกลางถึงท้ายเรื่อง
ใจความสำคัญของเรื่อง
ที่สำคัญคือใจความของเรื่องที่ว่าด้วยการมีตัวตนของแจ็ค ฟรอสต์ กับ ความเชื่อและศรัทธาของเหล่าเด็ก ๆ มีความแข็งแรงเกินคาด และมันก็กลายเป็นสองฉากที่เจิดจรัสทีสุดในหนังเรื่องนี้ เมื่อแจ็ค ฟรอสต์มีตัวตนจริง ๆ ในสายตาของเด็กคนหนึ่ง มันเป็นฉากที่ดูเรียบง่ายที่น่าตื้นตันและสามารถคลี่คลายปมของตัวละครได้ อย่างสวยงาม
รวมถึงฉากช่วงท้ายเรื่องที่มีความวิจิตรตระการตาอย่างน่าตื่นตะลึง เมื่อประสานกับคุณภาพของงานแอนิเมชั่นและกราฟฟิคที่แสนละเอียดชั้นสูงมันจึง ผลักดันให้อารมณ์ร่วมของผู้ชมไปไกลขึ้นอีกและที่สำคัญเลยก็คือ ความเป็น 3D ของเรื่องนี้นอกจากความสวยงามแล้วยังช่วยในการสร้างภาพอันตื่นตาเป็นอย่างมาก
มีฉากหนึ่ง แจ็ค ฟรอสต์ โดน พิทช์ แบล็ค ชักจูงให้มาร่วมมือกับเขา เพื่อสร้างความมหัศจรรย์ให้เป็นที่จดจำ ระหว่างความมืดกับความเย็นชา แต่แจ็ค ฟรอสต์ ปฏิเสธ เพราะเขาไม่ได้ต้องการทำให้ผู้คนจดจำได้เพราะความกลัว
แต่เขาต้องการที่จะมีตัวตนและสามารถอยู่ร่วมกับคนอื่นได้ สิ่งเหล่านี้ไปเชื่อมกับฉากที่ นอร์ธ ซานตาครอส ถามแจ็ค ฟรอสต์ ว่าศูนย์กลาง (หรือแก่นกลาง) ของเจ้าคืออะไร เพราะเหล่าเทพทุกคนต้องมีจุดศูนย์กลางของตนเอง และสำหรับแจ็ค ฟรอนต์ มันคือความสนุกสนาน หาใช่ความหวาดกลัวหรือความเย็นชาไม่
แม้ว่าเขาจะเป็นเทพน้ำแข็ง แต่น้ำแข็งมันก็หาใช่มีเพียงแต่ความเย็นชา มันยังเป็นความขาวบริสุทธิ์ที่สามารถสร้างความสนุกสนานให้แก่ทุกคนได้เหมือน กับเหล่าเด็ก ๆ ที่วิ่งเล่นบนผืนหิมะอย่างสนุกสนาน
ด้านคุณภาพงาน
ถ้าพูดถึงงานด้านภาพ คงไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่า มันสวยสดงดงาม ละเอียดละออ 3 มิติก็ทำออกมาได้อย่างเยี่ยมยอด สอดประสานกันไปได้ดีกับดนตรีประกอบ ใครได้ดูคงชอบเรื่องนี้ได้ไม่ยาก เพียงแต่เนื้อเรื่องของมันอาจจะไม่ได้มีพลังมากนักสำหรับหัวใจผู้ใหญ่อย่างเราๆ แต่น่าจะเป็นอะไรที่เด็กๆ ดูได้สนุกทีเดียว
โดยรวม
ดังที่กล่าวไป Rise of the Guardians มีหลายสิ่งที่เรียกได้ว่าเป็นสูตรสำเร็จจนน่าตกใจ เรื่องราวหรือบทพูดหลายอย่างที่เราเคยเห็นเคยได้ยินมาแล้วจากแอนิเมชั่นร้อย เรื่องก่อนหน้านี้ รวมถึงลำดับการเล่าเรื่องที่ไม่สามารถพูดออกมาได้ว่าลื่นไหลได้อย่างเต็มปาก รวมถึงจุดกำเนิดความขัดแย้งแบบเดิม ๆ
สรุป
อาจจะดูว่าเนื้อหาของ มันออกจะเด็กๆ ไปหน่อย แต่ช่วงปิดท้ายของหนัง มันก็ทำได้ซึ้งจนหัวใจอ่อนไหวๆ ของผมต้องซึ้งน้ำตาคลอไปด้วย คนเราต่างก็ต้องการทั้งนั้นแหละ “การยอมรับ” การที่ไม่มีใครยอมรับเราเลย เปรียบไปก็เหมือนดั่งการไม่มีตัวตน ไม่มีใครมองเห็นเรา เมื่อวันหนึ่ง เราได้ไปพบกับคนกลุ่มใหม่ๆ ที่เข้าใจและพร้อมจะเข้าใจในสิ่งที่เราเป็น เมื่อนั้น เราอาจได้พลังใจที่จะค้นพบตัวเอง และใช้พลังใจนั้นมาสร้างสรรค์สิ่งดีๆ ให้กับโลกได้
Comments