รีวิว Jurassic World: Fallen Kingdom - จูราสสิค เวิลด์ กับอาณาจักรที่ล่มสลาย
หรือภาคต่อในชุดไตรภาคใหม่ฉบับรีแบรนด์ของ Jurassic Park (1993) ที่กลับมาครั้งนี้ได้เปลี่ยนผู้นำวิสัยทัศน์มาเป็นผู้กำกับสายเอฟเฟกต์ดราม่าอย่าง เจ.เอ. บาโยนา ที่เคยมีผลงานชั้นดีอย่าง The Impossible (2012) หนังซึนามิที่มาถ่ายในไทย และล่าสุดกับ A Monster Calls (2016) ที่เคยทำหัวใจใครหลายคนสลายมาแล้ว ตรงนี้ก็ถือว่าเชื่อชั้นฝีมือได้ว่าหนังไม่ออกอ่าวตังเกี๋ยแน่นอน รีวิว Jurassic World: Fallen Kingdom
เรื่องย่อ
เป็นเรื่องราวต่อจากเหตุการณ์ในภาคแรก 3 ปี หลังจากการล่มสลายของสวนสัตว์ไดโนเสาร์ที่เรารู้จักกันในนามจูราสสิค พาร์ค เหตุการณ์ในภาคนี้โอเว่น (รับบทโดย Chris Pratt) และแคลร์ (รับบทโดย Bryce Dallas Howard) ได้รับข้อเสนอให้เข้าไปช่วยจัดการเรื่องไดโนเสาร์เกี่ยวกับการช่วยเหลือพวกมันก่อนที่ภูเขาไฟที่เกาะแห่งนั้นจะระเบิดขึ้นทั้งคู่พร้อมทีมงานก็เลยเข้าไปเพื่อที่จะช่วยไดโนเสาร์เหล่านั้น
หรือภาคต่อในชุดไตรภาคใหม่ฉบับรีแบรนด์ของ Jurassic Park (1993) ที่กลับมาครั้งนี้ได้เปลี่ยนผู้นำวิสัยทัศน์มาเป็นผู้กำกับสายเอฟเฟกต์ดราม่าอย่าง เจ.เอ. บาโยนา ที่เคยมีผลงานชั้นดีอย่าง The Impossible (2012) หนังซึนามิที่มาถ่ายในไทย และล่าสุดกับ A Monster Calls (2016) ที่เคยทำหัวใจใครหลายคนสลายมาแล้ว ตรงนี้ก็ถือว่าเชื่อชั้นฝีมือได้ว่าหนังไม่ออกอ่าวตังเกี๋ยแน่นอน
ส่วนผู้กำกับคนเก่งจากภาคแรก Jurassic World (2015) อย่าง คอลิน เทรโวร์โรว์ ก็ไปทำหน้าที่เขียนบทร่วมกับหนึ่งในทีมเขียนบทของภาคแรกอย่าง เดเรก คอนนอลลี่ แทน โดยได้พ่อมดต้นตำหรับอย่าง สตีเฟ่น สปีลเบิร์ก มานั่งอำนวยการสร้างเช่นเคย
เนื้อเรื่อง
เนื้อเรื่องในภาคนี้เริ่มที่เหล่าไดโนเสาร์ที่สวนสนุก จูราสสิค เวิลด์ บนเกาะอิสลา นูบลาร์ ซึ่งถูกทำลายจากภาคก่อน หลุดออกมาจากกรงที่ถูกมนุษย์ทิ้งร้างและพากันไปอยู่อาศัยอยู่ในป่า แต่โชคไม่ดีที่ภูเขาไฟบนเกาะกำลังจะระเบิด (บังเอิญเข้าฉายช่วงเดียวกับภูเขาไฟที่กัวเตมาลาระเบิดอีก) และถ้าปล่อยไว้เฉยๆ สัตว์ที่เคยสูญพันธุ์เหล่านี้ก็จะสูญพันธุ์อีกรอบ
แคลร์ (ไบรซ์ ดัลลัส ฮาวเวิรด์) ซึ่งในภาคนี้หันมาทำงานเพื่อช่วยชีวิตไดโนเสาร์ที่อยู่บนเกาะ ได้รับความช่วยเหลือจากเบนจามิน ล็อควูด (เจมส์ ครอมเวลล์) เพื่อนเก่าของริชาร์ด แฮมมอนด์ ผู้ก่อตั้ง Jurassic Park (ภาคแรก) ให้เข้าไปที่เกาะอิสลา นูบลาร์
พร้อมกับ โอเว่น (คริส แพรทท์) เพื่อช่วยเหลือไดโนเสาร์ออกมาให้ได้มากที่สุด โดยเฉพาะเจ้า “บลู” แรปเตอร์แสนรู้ และมันก็เป็นปฏิบัติการที่ต้องแข่งกับเวลาอย่างสูงเมื่อลาวาเริ่มไหลลงมาท่วมเกาะ
แน่นอนว่าปฏิบัติการช่วยเหลือไดโนเสาร์ครั้งนี้ต้องมีบางอย่างผิดแผนตามสไตล์ของแฟรนไชส์ Jurassic และหนังก็ไม่ให้เรารอนาน เพราะแค่ใน 15 นาที แรก ตัวละครทุกตัวก็วิ่งกันป่าราบแล้ว (ป่าราบจริงๆ เพราะลาวาท่วม)
การดำเนินเรื่อง
สิ่งที่แตกต่างออกไปจากดูหนังฟรีภาคก่อนๆ คือ Fallen Kingdom (ซึ่งเป็นภาคที่ 5 ถ้านับตั้งแต่ Jurassic Park) ให้ความรู้สึกเป็นหนังสยองขวัญมากกว่าภาคที่ผ่านๆ มาอย่างชัดเจน
แม้ว่าไดโนเสาร์ผลุบๆ โผล่ๆ จะเป็นเรื่องปกติของแฟรนไชส์ชุดนี้อยู่แล้ว แต่โทนของ Fallen Kingdom นั้นทำให้คนดูรู้สึกผวาเหมือนเห็นผีมากกว่า โดยเฉพาะ “การหนีไดโนเสาร์ได้ทันแบบเฉียดฉิว” ผู้กำกับ เจ.เอ. บาโยน่า จัดมาให้คนดูได้ลุ้นกันแทบตลอดทั้งเรื่อง
แต่จะให้แค่ลุ้นแคล์กับโอว่นโดนไดโนเสาร์ขย้ำก็จะดูจะไม่ค่อยตื่นเต้นเท่าไหร่ ภาคนี้เลยต้องมีหนูน้อยเมซี่ (อิซาเบลล่า เซอร์มอน) ที่ดูจะอ่อนแอที่สุดในเรื่อง มาคอยช่วยวิ่งหนีคมเขี้ยวไดโนเสาร์อีกคน ซึ่งท่าทีที่ไร้เดียงสาและไม่รู้จะช่วยเหลือตัวเองอย่างไรของเธอนี่แหละที่ทำให้คนดูลุ้นที่สุด
สิ่งที่แตกต่างในภาคนี้
สิ่งที่แตกต่างอีกอย่างสำหรับภาคนี้คงเป็นการสูงสุดคืนสู่สามัญ เมื่อทีมสร้างวางวิสัยทัศน์ในการใช้ แอนิเมทรอนิกส์ (Animatronics) หรือเทคนิคหุ่นกลไกเสมือนจริง เข้ามาใช้ในการถ่ายทำแบบครึ่ง ๆ กับเทคนิคกราฟิกคอมพิวเตอร์ CGI เหมือนสมัยที่ Jurassic Park ภาคแรกเคยทำไว้
ก่อนจะโดน CGI กลืนกินเกลี้ยงในภาคหลัง ๆ ตรงนี้ก็ทำให้ได้งานภาพระยะใกล้ที่มีเสน่ห์สมจริงแบบไม่หลอกตาผู้ชมเลยทีเดียว และอีกหนึ่งเทคนิคที่ทำครั้งแรกในแฟรนไชส์นี้ก็คือการถ่ายภาพด้วยอัตราส่วนจอกว้างกว่าเดิมอย่าง 2.39:1
ซึ่งมากสุดที่หนังจูราสสิกเคยถ่ายมา ด้วยเหตุผลว่ามันจะสามารถรองรับภาพไดโนเสาร์จำนวนมาก ที่ภาคนี้โอ่ไว้ว่าจะมีไดโนเสาร์มากที่สุดด้วย คือทีมสร้างคิดงานมาละเอียดดีเลยล่ะ
ข้อเสียของหนัง
ส่วนที่เสียไปของหนังอีกอย่าง คือการที่หนังต้องสนุกเมามันมีความระทึกตลอดทุก ๆ หน่วยวินาที จนถึงหน่วยนาที จนต้องยอมละเลยความสมเหตุสมผลของการกระทำหลายอย่าง (บางครั้งเราด่าตัวละครว่าไอ้โง่ได้เต็มปากด้วย) ความบังเอิญ ความซวย ความโชคดี แบบไม่อิงที่มาที่ไป เพราะหนังใหม่ชนโรงจะไม่ยอมเสียเวลาไปกับการเชื่อมความสมจริงพวกนั้นอีกแล้ว
อีกส่วนที่เสียดายมากคือ การที่ บาโยนา ผู้กำกับพยายามขับเน้นแง่มุมปรัชญาและดราม่าความขัดแย้งทางศีลธรรม แต่มันกลืนกลายมลายหายสิ้นไปโดยความเป็นหนังครอบครัวนั่นเอง เรารู้สึกตลอดว่าหนังมันกำลังจะไปถึงแบบตระกูล Rise of the Planet of the Apes (2011) อยู่แล้วนะ
แต่มันไปไม่ได้และไม่ยอมไปเพราะพลอตวิธีการเล่ามันคือหนังเด็กนั่นล่ะ น่าเสียดายที่คำพูดคม ๆ ฉากดราม่า ๆ มันไม่ถูกนำมาใช้สมศักยภาพของมัน แต่ก็เชื่อว่าถึงมันจะเป็นหนังที่ดูจบ ๆ ไปไม่มีอะไรจดจำ แต่มันจะทำเงินมหาศาล และเป็นกระแสปากต่อปากในช่วงอายุการฉายของมันแน่ ๆ ครับ
โดยรวม
โดยรวม Jurassic World: Fallen Kindom ยังทำให้คนดูสนุกกับหนังได้อย่างเต็มที่ เราได้เห็นถึงความพยายามที่จะสร้างความแตกต่างจากภาคที่แล้วๆ มา (แม้ว่าพล็อตของเรื่องยังเดาไม่ยากก็ตาม) แต่การที่บทบาทของไดโนเสาร์ในเรื่องถูกเน้นอยู่เพียงแค่ไม่กี่ตัว และอาณาเขตของการวิ่งไล่ล่าที่ดูจะแคบลงไปมากเมื่อเทียบกับที่ผ่านๆ มา มันเลยอาจทำให้ความอลังการลดลงเมื่อเทียบกับภาคก่อนๆ
สรุป
นี่คือหนังตามสูตรสำเร็จแบบไม่อายใคร ที่จะบอกเลยว่าจะเล่าแบบนี้ ๆ ๆ แบบที่คุณ ๆ คุ้นเคยนั่นล่ะ บางฉากคุณน่าจะเดาได้ล่ะ แต่ผมไม่สนใจไง ตราบใดที่มันทำให้คุณบันเทิง คุณสนุก คุณลุ้นจิกเบาะ คุณตื่นเต้นหัวใจพองโต นี่คือหนังบันเทิงแบบนั้นล่ะ แบบที่เด็กรุ่นใหม่ไปดูต้องกรี๊ดต้องบอกต่อให้คนอื่นไปดู
หนังประสบความสำเร็จดีมากครับ หนังสนุกของจริงเลยทั้งแอ็กชัน ทั้งขำแบบพอดีไม่ทำลายบรรยากาศ การแสดงที่ไม่เว่อจนผู้ชมไม่อิน เอฟเฟกต์สุดเร้าใจ ความสยองขวัญกดดัน ความซาบซึ้งตรึงใจ ดราม่า คือมีครบรสจริง
Comments