รีวิว Insurgent - อินเซอร์เจนท์ คนกบฏโลก
ดูเหมือนกระแสของบรรดาภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือชุดจะเริ่มซาลงไปบ้างแล้ว แต่กระนั้นก็ยังคงมีสตูดิโอหลายเจ้ายังคงสร้างภาพยนตร์หลายภาคจากหนังสือวรรณกรรมขายดีกันอยู่ หลายเรื่องก็ทำรายได้ดีเอาตัวรอดจากภาคแรก จนมาสร้างภาคที่สองได้ แต่หลายรายก็เข็ดหลาบกันไปตั้งแต่ภาคแรก จนไม่ได้ยินข่าวคราวการสร้างภาคต่อๆ มาเลยก็มี แต่ ‘The Divergent Series’ ดูจะมีกระแสที่ดีจนสร้างไปภาคจบได้แน่ๆ รีวิว Insurgent
เรื่องย่อ
เมื่อสงครามปะทุขึ้นระหว่างกลุ่มต่างๆ เจนีนพยายามตามล่าหาตัวทริสและพลังไดเวอร์เจนต์ของเธออย่างไม่ลดละ เพื่อเปิดผนึกปริศนาที่มีมาแต่โบราณ
ดูเหมือนกระแสของบรรดาภาพยนตร์ที่สร้างจากหนังสือชุดจะเริ่มซาลงไปบ้างแล้ว แต่กระนั้นก็ยังคงมีสตูดิโอหลายเจ้ายังคงสร้างภาพยนตร์หลายภาคจากหนังสือวรรณกรรมขายดีกันอยู่ หลายเรื่องก็ทำรายได้ดีเอาตัวรอดจากภาคแรก
จนมาสร้างภาคที่สองได้ แต่หลายรายก็เข็ดหลาบกันไปตั้งแต่ภาคแรก จนไม่ได้ยินข่าวคราวการสร้างภาคต่อๆ มาเลยก็มี แต่ ‘The Divergent Series’ ดูจะมีกระแสที่ดีจนสร้างไปภาคจบได้แน่ๆ
นี่คือภาคที่สองจากหนังสือเล่มที่สอง ‘Insurgent คนกบฏโลก’ ที่แว่วว่าเล่มสุดท้ายจะกลายเป็น 2 ภาคย่อย (ตามเคย) ในโลกที่มนุษย์เหลือรอดกันเป็นกลุ่มสุดท้าย จนต้องจัดระเบียบสังคมด้วยการแบ่งแยกผู้คนของเป็นกลุ่มๆ ซึ่งได้แก่ Abnegation กลุ่มผู้เสียสละ, Amity กลุ่มผู้สันติ, Candor กลุ่มผู้สัตย์ซื่อ, Erudite กลุ่มผู้รอบรู้ และ Dauntless กลุ่มผู้กล้า
เนื้อเรื่องใน Divergent
เนื่องจากหนังภาคแรกเล่าเรื่องราวของโลกอนาคตที่มนุษย์เหลืออยู่จำนวนไม่มาก หรือโดนจัดกลุ่มแยกตามความถนัดของตัวเองซึ่งในแต่ละกลุ่มก็จะทำหน้าที่ในการบริหารจัดการและใช้ชีวิตของตัวเองไป ทว่ามีคนบางพวกที่มีความถนัดมากกว่า 1 อย่างหรือพูดง่ายๆว่าไม่สามารถจัดอยู่ในกลุ่มใดได้เลยจึงถูกเรียกได้ว่า “ไดเวอร์เจนท์”
แน่นอนว่า “นางเอก” อย่างทริซ (เชอลีน วู๊ดลีย์) นั้นเป็นตัวละครที่ออกแบบมาเพื่อเป็นตัวแทนของ “เด็กรุ่นใหม่” ที่พยายามจะ “ขบถ” ต่อขนบดั้งเดิม ว่าตัวเธอมีความแตกต่างจากสภาพสังคมที่เป็นอยู่ดังนั้นเธอเลยต้องออกมาเผชิญโชคระหกระเหินต่อต้านกับสภาพสังคมกับกลุ่มคนที่มี “สภาพ” เหมือนกับเธอในหนัง Divergent ภาคแรกนั่นเอง
เหตุการณ์ในดูหนังออนไลน์ภาคแรกทริซต้องสูญเสียแม่ของตัวเองไปจากเหตุการณ์ความรุนแรงที่เจอนีน (เคท วินสเลต) หัวหน้ากลุ่มทรงปัญญา(Erudite) พยายามจะยึดครองระบบทั้งหมดของสังคมเอาไว้ในกำมือของตัวเอง เหตุการณ์โดยสังเขปของภาคนี้ก็คือทริซและโฟร์ (เธโอ เจมส์)
ต้องเดินทางไปยังเขตของกลุ่มสันติ (Amity) เพื่อขอความช่วยเหลือและสร้างพันธมิตรในการร่วมต่อสู้ แต่ทว่าเจอนีนก็ตามล่าตัวทริซจนพบทำให้เธอต้องหนีไปพึ่งพากับพวกไร้กลุ่ม (Factionless) ซึ่งมีเอฟเวอร์ลีน (นาโอมิ วัตต์ส) เป็นผู้นำกลุ่ม
เหตุการณ์บางอย่างทำให้ทริซและโฟร์ต้องเดินทางไปขอร้องความช่วยเหลือจากกลุ่มผู้คุมกฎ(Candor) จากแจ็ค คัง (แดเนียล แด คิม) กลุ่มที่ให้ความสำคัญกับความมีสัจจะและความซื่อสัตย์ คนในกลุ่มผู้คุมกฏจะไม่พูดปดและมีความลับต่อกัน ทำความทริซถูกทดสอบความจริงบางอย่าง
เนื้อเรื่องในภาค Insurgent
จุดเริ่มต้นแห่งการต่อสู้ครั้งใหม่ของ ทริซ (เชย์ลีน วู้ดลีย์) เด็กสาวที่ย้ายจากกลุ่มผู้เสียสละ (Abnegetion) ไปอยู่กลุ่มผู้กล้า (Dauntless) ที่นั่นเธอได้ค้นพบแผนการชั่วร้ายที่จะยึดครองโลกของ เจอนีน (เคท วินสเลต) หัวหน้ากลุ่มทรงปัญญา (Erudite)
ซึ่งทำให้ทริซต้องดึงความกล้าของตัวเองออกมาเพื่อต่อสู้ร่วมกับคนรักอย่าง โฟร์ (ธีโอ เจมส์) ในการเปิดโปงความลับเหล่านี้ให้ได้ หลังจากการเผชิญหน้าครั้งใหญ่ที่ผ่านมา ทริซและโฟร์ได้เดินทางไปยังเขตของกลุ่มรักสันติ (Amity) เพื่อขอความช่วยเหลือและสร้างพันธมิตรที่จะร่วมมือกันต่อสู้กับเจอนีน
แต่ทว่าพวกเขากลับได้พบความจริงที่น่าเหลือเชื่อยิ่งกว่า... ท่ามกลางสงครามครั้งนี้ ความลับมากมายถูกเปิดโปง ความไม่สงบปะทุขึ้นระหว่างกลุ่มต่างๆ รอบตัวทริซ ที่ต้องพยายามรักษาชีวิตตนเอง รักษาคนที่เธอรัก
และเผชิญกับคำถามสำคัญของชีวิต ทริซได้เรียนรู้ว่า ในช่วงเวลาแห่งสงครามนั้นเราจำต้องเลือกข้าง เหลือเพียงการโอบรับสถานะไดเวอร์เจนท์อย่างเต็มภาคภูมิเท่านั้นให้เธอเลือกเดิน แม้ว่าทริซจะไม่มีวันรู้เลยว่าต้องสูญเสียอะไรไปบ้างบนเส้นทางนี้
การเลือกทางเดินแต่ละครั้งสำคัญยิ่งนักเพราะอาจไม่สามารถย้อนกลับมาแก้ไขอะไรได้อีก การตัดสินใจของทริซทำให้เธอพบความจริงซึ่งจะนำมาสู่การเปลี่ยนแปลงโลกไปตลอดกาล
การดำเนินเรื่องในภาคนี้
เอาเข้าจริงความพยายามในการเล่าเรื่องแบบรวบรัดของ Insurgent ทำให้ประเด็นหลายอย่างที่ควรจะเชื่อมต่อกันถูกลดทอนไปจนเรียกได้ว่าแทบจะปราศจากความสำคัญกับภาพรวมของหนังเสียด้วยซ้ำไป ยกตัวอย่างเช่นตอนเปิดเรื่องที่ทริซต้องไปพึ่งพากับกลุ่มรักสันตินั้น
หนังก็ไม่ได้ให้ประเด็นอะไรมากไปกว่าการที่โจฮันนา เรย์ส (ออคตาเวีย สเปนเซอร์) ให้ความช่วยเหลือกับทริซ ทั้งที่เรื่องราวในหนังสือกลุ่มนี้จะมีบทบาทในการเป็นตัวกลางเพื่อจะขจัดความขัดแย้งของเรื่อง
เข้าใจได้ว่าการตัดทอนหนังสือให้กลายมาเป็นหนังซีรี่ย์ Netflixนั้นต้องมีการปรับเปลี่ยนรายละเอียดหลายอย่าง แต่ด้วยความไม่เซียนของผู้กำกับ “โรเบิร์ต ชเวนเก้” ทำให้แฟรนชายส์ไดเวอร์เจนที่มีปูมหลังของเรื่องราวการ “แหกคอก” ขบถต่อวิถีการปกครองได้ไม่ลุ่มลึกเท่าแฟรนชายส์การปฎิวัติระบบแบบ The Hunger Games ที่ไม่ใช่แค่การล้มกระดานการปกครองแบบง่ายๆอย่างที่ Insurgent ทำ
สิ่งที่มันตลกที่สุดสำหรับแฟรนชายส์ Insurgent ก็คือกลุ่มคนที่เชื่ออะไรกันมาอย่างเหนียวแน่นมากๆเป็นเวลาเกือบ 200 ปี (ระบบการปกครองแบบกลุ่ม) อยู่มาวันหนึ่งก็มีภาพซีมูเลชั่นคนสร้างระบบกลุ่มโผล่มาแล้วบอกว่า
"พวกเจ้าจงออกไปตามหาความจริงนอกประตูเมือง และไดเวอร์เจนซ์คือความอยู่รอดของมวลมนุษยชาติ"ผู้คนที่ (ย้ำอีกครั้งว่าเชื่อในระบบเก่ามากๆ) ต่างก็เฮโลกันเพื่อเดินออกนอกประตูเมืองกันอย่างรื่นเริง มีความสุขโดยปราศจาก "คำถาม" เรื่องที่มา อันอาจจะเป็นอุบายหลอกของ "ใครสักคน"
หรือเป็นการทำโฆษณาชวนเชื่อแบบที่หนัง The Hunger Games Mockingjay (ทั้งสองฝ่ายทำทั้งฝ่ายนางเอกและประธานาธิบดีสโนว์) หรือเปล่า? นี่แหละคือสิ่งที่ทำให้ตรรกะของหนังทั้งเรื่องแทบพังทลายในฉากเดียว!
จุดเด่น
ด้วยความเป็นหนังภาคต่อ ภาคนี้จึงไม่ต้องเสียเวลาในการเล่าพื้นหลังมากนัก เมื่อเข้าเรื่องแล้วก็ต่อจากภาคที่แล้วกันเลย ซึ่งผู้กำกับอย่าง Robert Schwentke ก็พยายามเต็มที่ที่จะเติมความเป็นแอ็คชั่นเข้าไปให้มากกว่าเดิมเพื่อเพิ่มความสนุกตื่นเต้นของหนัง
ประกอบกับภาคนี้จะมีช่วงเวลาของการจับเหล่าไดเวอร์เจนต์มาทดสอบในลักษณะซิมูเลชั่น ซึ่งก็จำเป็นต้องพึ่งพาคอมพิวเตอร์กราฟิกมากขึ้นกว่าภาคที่แล้ว งานด้านภาพทำให้หนังเรื่องนี้เข้าขั้นไซไฟล้ำยุคได้ดีเชียวล่ะ
จุดด้อย
สิ่งหนึ่งที่ ‘คนกบฏโลก’ ยังทำไม่สุดมากนัก ก็คือ การดำเนินเรื่องให้ผู้ชมได้รู้สึกอินกับหนัง แม้ว่าบทจะเปิดให้ Shailene Woodley ได้เล่นบทดราม่าแสดงอารมณ์ได้มากยิ่งขึ้น แต่กลับไม่ชวนให้คนดูมีอารมณ์ร่วมจนต้องร่ำไห้แต่อย่างใด
โดยรวม
ในความรู้สึกของผม ‘Insurgent’ ค่อนข้างทำหน้าที่ของผู้ให้ความบันเทิงด้านแอ็คชั่นได้อย่างคล่องแคล่วกว่าแต่ก่อน ฉากลุ้นก็ลุ้นเอาใจหายใจคว่ำเหมือนกัน ผสมผสานกับซีจีที่มาแบบจัดเต็มมากขึ้น แม้เมื่อดูบนจอใหญ่อย่าง IMAX 3D จะพบว่าไม่เนียนก็ตาม ภาพบนจอยักษ์ที่เป็นสามมิติ ดูพุ่งเข้าตาอยู่หลายฉาก แต่บางฉากก็ดูเฉยๆ หากพลังเสียงของโรงนี้กระหึ่มเลยล่ะ
แต่ก็ใช่ว่าหนังจะให้เวลากับแอ็คชั่นเสียแต่เพียงฝั่งเดียว บทจะดราม่าก็เรียกได้ว่า เอาจริงเอาจังเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่วู้ดลีย์อย่างทำให้เราอินได้ไม่ถึงขั้นที่เจนลอว์ แห่ง ‘The Hunger Games’ เคยทำเอาไว้ได้เท่านั้นเอง
นอกเหนือไปจากสองคนที่กล่าวไปข้างต้นแล้ว ในหนังก็ยังมีทั้ง โฟร์ (Theo James) เคเล็บ (Ansel Elgort จาก ‘The Fault in Our Stars’) และปีเตอร์ (Miles Teller จาก ‘Whiplash’) แก๊งกลุ่มเดียวที่ต่างก็มาจากคนละบ้าน แถมต่างคนก็ต่างเคยผ่านตาพวกเราจากหนังเรื่องโน้นเรื่องนี้ พอมาอยู่รวมกันแล้วอาจจะดูแปลกตาและยังติดภาพเก่าๆ อยู่บ้าง บางทีก็ต้องทำใจนะครับ
สรุป
ภาคนี้เป็นเพียงแค่ก้าวที่ 2 ของซีรีย์ชุดนี้ เหมือนจะยังปล่อยของออกมาได้ไม่หมด แต่โดยรวมตัวหนังผมว่าใช้ได้ทีเดียว ในฐานะของคนที่ไม่เคยอ่านหนังสือ และมีตอนจบที่เรียกได้ว่ากระตุ้นอยากให้มีภาค 3 ฉายเดือนหน้าเลยประมาณนั้นครับ เรืองนี้ยังคงใช้ประสิทธิภาพโรง IMAX ได้เต็มทีแบบเดียวกับภาคที่แล้ว ซึ่งทำให้ตัวหนังดูสนุกขึ้นกว่าโรงธรรมดาถึง 40% เลยทีเดียว
Comments