รีวิว I Am Mother - หุ่นเหล็กโลกเรียกแม่
หนังแนวไซไฟที่พล็อตและเทรลเลอร์น่าสนใจมาก แต่ตัวหนังเองเป็นหนังอินดี้ทุนไม่สูงมากนัก ที่ได้ดารานักแสดงออสการ์อย่าง Hilary Swank มาเล่น ซึ่งเป็นจุดที่ดึงดูดทำให้หนังดูมีอะไรมากกว่าแค่พล็อตอินดี้โลกอนาคตล่มสลาย ที่จำกัดวงไว้แค่ภายในห้องทดลอง กับหุ่นยนต์ที่เรียกตัวเองว่า “แม่” รีวิว I Am Mother
เรื่องย่อ
เรื่องราวของเด็กสาววัยรุ่นในบท “ลูกสาว” คลาร่า รูการ์ด (Clara Rugaard) มนุษย์คนแรกที่ถูกเลี้ยงขึ้นมาในศูนย์หลบภัยใต้ดินกับ “แม่” หุ่นยนต์ที่ทำหน้าที่เพาะพันธุ์มนุษย์หลังวิกฤติสูญพันธุ์ แต่ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกคู่นี้ต้องสั่นคลอนเมื่อมีผู้หญิงปริศนาเลือดโชก (Hilary Swank) มาเคาะประตูขอความช่วยเหลือ หญิงแปลกหน้าผู้นี้ทำให้ความเชื่อของดอว์เทอร์ที่มีต่อโลกภายนอกเปลี่ยนไป การเริ่มต้นค้นหาความจริงครั้งยิ่งใหญ่จึงเริ่มต้นขึ้น
นี่เป็นหนังแนวไซไฟที่พล็อตและเทรลเลอร์น่าสนใจมาก แต่ตัวหนังเองเป็นหนังอินดี้ทุนไม่สูงมากนัก ที่ได้ดารานักแสดงออสการ์อย่าง Hilary Swank มาเล่น ซึ่งเป็นจุดที่ดึงดูดทำให้หนังดูมีอะไรมากกว่าแค่พล็อตอินดี้โลกอนาคตล่มสลาย ที่จำกัดวงไว้แค่ภายในห้องทดลอง กับหุ่นยนต์ที่เรียกตัวเองว่า “แม่” ตัวเดียวแทบทั้งเรื่อง
ซึ่งก็ทำออกมาเคลื่อนไหวลื่นไหลไม่เงอะงะเทอะทะแบบรูปร่างภายนอก (เข้าใจว่าใช้คนเล่นเป็นหุ่นแทนที่จะเป็น CG) ส่วนฉากต่างๆ ภายในเก็บงานโปรดักชั่นได้ละเอียดสมจริง แม้จะไม่ดูอลังการอะไรนัก นอกจากภายในห้องแล้วก็ยังมีส่วนภายนอกที่เป็นโลกล่มสลาย ซึ่งเราจะได้เห็นกันในช่วงท้ายๆ ของหนัง ซึ่งทำออกมาดูเวิ้งว้างยิ่งใหญ่ในงบจำกัดได้ลงตัวดี
เนื้อเรื่อง
เรื่องราวที่เกิดขึ้นใน I Am Mother นั้น หนังเปิดเรื่องมาที่หุ่นยนต์ปัญญาประดิษฐ์อย่าง “มาเธอร์” (ให้เสียงพากย์โดย โรส เบิร์น) ผู้รับหน้าที่ในการเพาะเลี้ยงตัวอ่อนมนุษย์ให้เติบโตขึ้นมา ในศูนย์วิจัยที่มีลักษณะเหมือนจะอยู่ในบังเกอร์ใต้ดิน เนื่องจากแทบไม่มีแสงแดดลอดผ่านเข้ามาเลยแม้แต่น้อย
เหตุการณ์ในหนังเกิดขึ้นโลกอนาคตที่มนุษยชาติเกิดสงครามล้างเผ่าพันธุ์และมนุษย์เกิดสูญพันธุ์ ปัญญาประดิษฐ์จึงต้องรับหน้าที่ในการดูแลมนุษย์เกิดใหม่ ซึ่งในที่นี้คือ “ดอว์เธอร์” (คลาร่า รูการ์ด) เด็กสาวที่เกิดขึ้นจากฐานเพาะเนื้อเยื่อชีวภาพ
ดอว์เธอร์ เติบโตขึ้นมาแบบเด็กน้อยที่ได้รับการดูแล และเรียนรู้สิ่งต่างๆ จากมาเธอร์ว่า แท้จริงแล้วเธอยังมีน้องชายและน้องสาวอีกจำนวนมากมาย ที่รอวันลืมตามาดูโลกเมื่อถึงกำหนดเวลาที่เหมาะสม ถึงแม้ดอว์เธอร์จะตั้งคำถามว่า ทำไมมาเธอร์ไม่ให้กำเนิดเด็กคนอื่นพร้อมกันกับเธอ มาเธอร์ตอบแค่เพียงว่า เธออยากจะใช้เวลาในการเลี้ยงดูเด็กคนหนึ่งให้ดีที่สุดและเติบโตมาเป็นเด็กที่ดีมากกว่า
เมื่อดอว์เธอร์เริ่มเข้าสู่วัยรุ่น เธอเริ่มต้องเรียนรู้ทักษะมากมาย โดยเฉพาะเรื่องแนวคิดในการช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ผ่านกรณีศึกษา ข้อสอบสำคัญที่มาเธอร์ถามดอว์เธอร์คือ ถ้าหากมีคนไข้รายหนึ่งที่มีอวัยวะที่สามารถปลูกถ่ายเพื่อช่วยเหลือเพื่อนมนุษย์ได้อีก 5 คน
แต่ถ้าหากการผ่าตัดสำเร็จเจ้าของอวัยวะจะต้องตาย แต่อีก 5 ชีวิตจะรอด หรืออีกหนึ่งทางเลือกคือ เจ้าของอวัยวะจะรอดชีวิตและคนไข้ที่รออวัยวะจะต้องตาย ทางเลือกไหนคือทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ก่อนจะตอบดอว์เธอร์ยังไม่สามารถประมวลคำตอบได้ทันที
เมื่อเธอต้องพิจารณาองค์ประกอบอื่นๆเพิ่มเติมอีก อาทิ คนที่รอความช่วยเหลือเป็นคนดีหรือคนเลว มีความอดทนไหม เป็นคนขี้เกียจหรือคนขยัน คำตอบดังกล่าวทำให้มาเธอร์ถามเธอกลับว่า ดอว์เธอร์เชื่อในความเท่าเทียมกันของมนุษย์หรือไม่
แม้ดอว์เธอร์จะถูกฝากคำถามกลับมาเป็นการบ้าน แต่คำถามข้อนั้นเป็นอีกหนึ่งตัวแปรในชีวิตที่เธอไม่รู้เลยว่า ในอีกไม่นาน จะมี “ผู้มาเยือน” (ฮิลารี สแวงก์) มาเคาะประตูขอความช่วยเหลือที่นอกบังเกอร์ ซึ่งดอว์เธอร์เข้าใจมาตลอดว่าโลกภายนอกนั้นไม่เหลือมนุษย์อีกแล้ว
การมาถึงของหญิงแปลกหน้าครั้งนี้ทำให้ดอว์เธอร์ เกิดคำถามมากมายเกี่ยวกับมาเธอร์ว่า ตลอดมานั้นเธอ ถูกเลี้ยงดูมาแบบไหน สิ่งที่ผู้มาเยือนบอกเป็นความจริงหรือเรื่องโกหก โลกภายนอกมีอะไรอยู่กันแน่
พล๊อตของเรื่อง
หนังจากเทศกาลซันแดนซ์ที่ฮือฮาว่าเป็นหนังไซไฟปรัชญาที่โคตรเจ๋งของปีที่ผ่านมา อารมณ์ประมาณ Ex Machina ที่มาอินดี้โนเนมแต่ดีเว่อจนคนบอก ๆ ต่อกันเมื่อหลายปีก่อน สำหรับดูหนังฟรีเรื่องนี้ความเจ๋งคงมาตั้งแต่พลอตที่ด้วยเด็กสาวที่ถูกเลี้ยงขึ้นมาจากแม่ที่เป็นหุ่นยนต์
ในห้วงเวลาที่โลกได้สิ้นสุดมนุษยชาติสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว ทุกอย่างก็ดูเป็นปกติสำหรับเด็กสาวที่จะเชื่อทุกอย่างที่แม่ของเธอบอก ทั้งการเรียนปรัชญาต่าง ๆ การดำรงชีวิต จริยธรรม รวมถึงการทำแบบทดสอบเพื่อพัฒนาตัวเองอยู่เสมอ
แม่มักบอกเธอว่า แม่รักเธอและทำสิ่งที่ดีเพื่อเด็กสาวเสมอ จนวันหนึ่งก็ได้มีผู้หญิงจากโลกภายนอกหลงมา สร้างความปั่นป่วนในการรับรู้ของเด็กสาว ว่าโลกภายนอกอาจไม่เป็นอย่างที่เธอเชื่อ และบางทีแม่ก็อาจจะโกหกเธอมากกว่าแค่เรื่องนี้ด้วย
แต่ความสนุกก็อยู่ตรงที่หนังก็สร้างปมขัดแย้งว่าตัวผู้หญิงที่เข้ามาเองก็อาจไม่มีความน่าเชื่อถือมากพอด้วย เอาล่ะสิ ในฐานะผู้ชมที่มองทุกอย่างผ่านสายตาของ ลูกสาว ที่เหมือนคนกลางและไร้เดียงสาต่อโลกภายนอกสุด ๆ ควรเชื่ออะไรดี
หนังแนวปรัชญา
สำหรับใครที่คาดหวังว่าหนังจะมีแอ็กชั่นตูมตามอะไรนี่เลิกคิดเลยครับ นี่เป็นหนังที่เน้นบทสนทนาเป็นหลัก เน้นแนวปรัชญามายาวๆ จนหลายคนอาจจะหาวได้ หนังใช้การตั้งคำถามปรัชญาโดยผ่านรูปแบบหุ่นยนต์ “แม่สอบลูก” ไม่ได้พิมพ์ผิดนะครับ
เรื่องนี้คือ “แม่ไม่ได้สอนลูก” แต่แม่ได้ตั้งคำถามในเรื่องต่างๆ ให้ลูกหาคำตอบเอาเอง โดยใช้การสอบด้านจริยธรรม มโนธรรม ศีลธรรม หลายอย่างให้ลูกต้องทำข้อสอบวัดผล ซึ่งหุ่นแม่โฟกัสไว้ว่าการสอบสำคัญกว่าอะไรทั้งหมดในที่หลบภัยแห่งสุดท้ายนี้
ซึ่งคนดูเองก็คงสงสัยไม่ต่างอะไรกับบท “ลูกสาว” ว่าทำไม สิ่งนี้จึงสำคัญขนาดมากกว่าการออกไปหาผู้รอดชีวิตภายนอก ซึ่งมีผู้ที่ยังรอดอยู่และหลงมาพบเจอที่แห่งนี้เข้า ซึ่งบทของ Hilary Swank แม้เธอจะเล่นได้ดี แต่ก็เป็นแค่ตัวแปรในบทสมทบ ที่เข้ามาทำให้สมการความสัมพันธ์ของแม่ลูกคู่นี้เปลี่ยนไป
หนังใช้เรื่องราวที่คลุมเครือกับปริศนาความลับของแม่มาเป็นตัวเดินเรื่อง โดยมีลูกสาวที่ต้องแบกรับความรู้สึกขัดแย้งในใจกับการกระทำของแม่ที่ตัวเองรัก แม้จะเป็นแค่หุ่นยนต์ แต่ก็ทำหน้าที่เสมือนแม่จริงๆ ทั้งคู่ดูผูกพันกันจริงๆ
ซึ่ง คลาร่า รูการ์ด ดาราหน้าใหม่รับบทนี้ได้เป็นอย่างดี นี่เป็นหนังแจ้งเกิดของเธอโดยแท้จริง ซึ่งหน้าตาของเธอก็คล้าย “นาตาลี พอร์ตแมน” อยู่หลายมุมเหมือนกัน บทของเธอคือผู้แบกหนังทั้งเรื่อง ออกทุกฉากตั้งแต่ต้นจนจบ ซึ่งเป็นส่วนที่ดีที่สุดของหนังออนไลน์มากกว่าส่วนไซไฟเสียด้วยซ้ำ
จุดที่ชอบ
จุดที่ชื่นชอบมาก ๆ แต่ก็เป็นทั้งดาบสองคมของหนังเองด้วยคือเนื้อเรื่อง ที่ลงอธิบายลึกได้ยากเพราะจะสปอยล์แน่นอน แต่เอาเป็นว่าหนังค่อย ๆ สอดแทรกจุดเล็กจุดน้อยลงมาเรื่อย ๆ ทั้งเรื่องการเรียนเรื่องปรัญาที่แม่สอนและให้ลูกสาวต้องทำแบบทดสอบ เช่นว่า หมอคนหนึ่งมีคนไข้ 6 คนในการดูแล
โดยมีคนไข้คนหนึ่งที่มีอวัยวะที่เข้ากันได้กับอีกคนไข้ 5 คน ซึ่งหากปล่อยให้คนไข้รายนี้ตายจะสามารถถ่ายอวัยวะช่วยได้อีก 5 ชีวิต คำตอบใดถือว่าถูกต้องที่สุดจะช่วย 1 ชีวิตตรงหน้าอย่างเต็มที่และปล่อยอีก 5 คนหมดโอกาสรักษา
หรือจะปล่อยคนไข้ 1 คนตายแล้วรักษาชีวิตได้อีก 5 ชีวิตแทน? หรือการที่ตัวลูกสาวต้องเรียนรู้ความจริงของโลกภายนอกผ่านคำพูดของผู้อื่นทั้งแม่ และผู้หญิงแปลกหน้า โดยต้องพิจารณาจากความจริงและคำโกหกที่ยากพิสูจน์ตรงหน้า
ซึ่งอิงไปกับเหตุการณ์ตามไบเบิ้ลที่งูมาลวงหลอกอีฟให้ออกจากสวนอีเดนก็ไม่ปาน แต่ ณ จุดนี้เราไม่ทราบว่าเป็นพระเจ้าเองหรือเปล่าที่หลอกอีเดนไม่ให้ออกจากสวนแห่งอีเดนเพื่อพบความจริง
ส่วนที่ยากของหนังคือการประกอบภาพทั้งหมด ในตอนท้ายนั้นถูกเฉลยผ่านบทสนทนาที่คลุมเครือ ชวนให้เราปะติดปะต่อเอง จนบางทีอาจงงเสียด้วยซ้ำในบางจุด ทว่าเมื่อมานั่งตรองทั้งหมดดี ๆ และเห็นภาพทั้งหมดของหนังก็พบว่า หนังให้คำถามเชิงปรัชญาและเพิ่มหยักในสมองเราได้น่าสนใจทีเดียว
ว่าอะไรคือคำตอบที่ถูกต้องในการใช้ชีวิตที่ถูกต้องบนโลกใบนี้ ความรักของแม่นั้นคืออะไร และเจตนาที่แท้จริงของแม่นั้นคืออะไรกันแน่ การวัดด้วยจริยธรรมค่านิยมแบบมนุษย์นั้นสมควรหรือถูกต้องหรือไม่? อาจไม่ใช่หนังไซไฟแอ็กชันเข้มข้นชวนลุ้น หากแต่เป็นงานไซไฟปรัชญาชวนคิดที่น่าสนใจทีเดียวครับ
โดยรวม
นี่เป็นหนังไซไฟอินดี้ที่ขายบทโดยชัดเจน ซึ่งก็ทำออกมาได้ดี แปลกใหม่ แตกต่างจากที่เคยมีมา แม้ส่วนเฉลยอาจจะไม่ว้าวนัก และแอบซ้ำในบางแง่มุมกับหนังไซไฟดังๆ ในอดีต (ไม่สามารถบอกชื่อได้เพราะจะเป็นการสปอยล์เนื้อหาหลักทันที
แต่ถ้าใครสงสัยก็คลิกดูด้านล่างครับ) แต่ปัญหาคือหน้าหนังที่ทำออกมาดูแนวแอ็กชั่นไซไฟในตอนท้ายเทรลเลอร์ พาลให้คนดูหลงคิดได้ว่าจะมีอะไรออกมาตูมตาม ซึ่งก็ได้ผลทำให้คนดูจำนวนมากหลงไปดู แล้วก็คงได้หาวหลับกันทั้งโรงแน่ถ้าตั้งใจมาดูอะไรแบบนั้น
สรุป
หนังไซไฟอินดี้ บทสนทนายาวๆ ทั้งเรื่อง ถ้าใครชอบความคมคายของบทก็ดูสนุกน่าติดตามดี แต่ถ้าใครมองหาหนังแอ็กชั่นตลาดๆ หน่อยก็คงหาวหลับได้
Comments